ถอดรหัส “หุ้น-กองทุน-ทองคำ” เทรนด์ลงทุน…หลังเลือกตั้งสหรัฐ

ภาพโดย Steve Bidmead จาก Pixabay

ทั่วโลกกำลังลุ้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 3 พ.ย.นี้ แม้เวลานี้โพลทุกสำนักจะออกมาในทิศทางเดียวกันว่า “โจ ไบเดน” ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกัน แต่ทุกอย่างยังไม่แน่นอน และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐก็มีอิทธิพลอย่างสูงต่อเศรษฐกิจโลก และตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย

“ประชาชาติธุรกิจ” จึงได้รวบรวมมุมมองเหล่ากูรูในวงการตลาดทุน ถึงผลกระทบด้านบวกและลบต่อสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งกองทุน หุ้น และทองคำ ระหว่างการเป็นผู้ชนะของ “ทรัมป์” หรือ “ไบเดน” ซึ่งจะช่วยสะท้อนเทรนด์การลงทุน หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

นโยบาย “ไบเดน” เขย่าตลาดหุ้นสหรัฐ

เริ่มจากมุมมองนักลงทุนสถาบัน “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด ชี้ว่า พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน มีนโยบายหาเสียงแตกต่างกันพอสมควร กรณีประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

แต่หากผู้ท้าชิงอย่าง “โจ ไบเดน” ชนะตามโพล ไบเดนมีแผนจะเพิ่มภาษีนิติบุคคลและภาษีบุคคลธรรมดา สร้างภาระแก่บริษัทในตลาดหุ้น โดยเฉพาะธุรกิจเทคโนโลยีซึ่งได้รับประโยชน์จากการลดภาษีมากที่สุด เชื่อว่าการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะดำเนินต่อไปแม้ท่าทีไบเดนไม่แข็งกร้าวเท่าทรัมป์ก็ตาม

“จากโพลมีโอกาสสูงที่ไบเดนจะชนะ ซึ่งนโยบายของเขาเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นสหรัฐ ประเมินว่า ตลาดหุ้นสหรัฐหลังเลือกตั้งเสี่ยงปรับฐานตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ที่มีโอกาสปรับขึ้นนโยบายการค้าที่ผ่อนคลายลง”

Advertisment

ตลาดจีนความเสี่ยงน้อยที่สุด

กลยุทธ์การลงทุน “สาห์รัช” มองว่า พิจารณารายประเทศจีนมีความเสี่ยงน้อยสุด มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะเข้าไปลงทุนระยะถัดไป เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเริ่มกลับมาเป็นปกติ และไม่มีการล็อกดาวน์เพิ่มเติม พิจารณาการลงทุนรายกลุ่มธุรกิจ ทิสโก้ชื่นชอบกลุ่มเทคโนโลยี เฮลท์แคร์ โดยเฉพาะไบโอเทคโนโลยี และดิจิทัลเฮลท์แคร์

สำหรับกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ ที่ลงทุนตลาดหุ้นจีน กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการแพทย์ ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า A-Shares อิควิตี้, กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า เทคโนโลยี อิควิตี้, กองทุนเปิด ทิสโก้ ไบโอเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ และกองทุนเปิดทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้

ฝรั่งกลัวสถานการณ์การเมืองไทย

อย่างไรก็ดี “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า แม้เงินลงทุนจะย้ายมาลงทุนกลุ่มประเทศเกิดใหม่ กรณีไบเดนได้เป็นประธานาธิบดี ทำให้กองทุนบางส่วนต้องเพิ่มน้ำหนักลงทุนในไทยด้วย แต่ปัจจัยการเมืองในประเทศไทยยังคงกดดันต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน จึงคาดว่าฟันด์โฟลว์ที่จะเข้ามาตลาดหุ้นไทยจะเป็นสัดส่วนน้อย

เช่นเดียวกับ “สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ที่ประเมินว่า ชัยชนะของโจ ไบเดน จะส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาในเอเชีย ซึ่งประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับประโยชน์ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานว่า ปัจจัยการเมืองในประเทศจะต้องนิ่งกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการกลับเข้ามาของเงินลงทุนต่างชาติ คือ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ธุรกิจยาง บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี ธุรกิจถั่วเหลือง บมจ.น้ำมันพืชไทยและธุรกิจเดินเรือ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง

Advertisment

สถิติตั้งแต่ปี 1980 (2523) พบว่า 1 เดือนหลังการเลือกตั้งสหรัฐ หุ้นคุณค่า (value stock) อย่างกลุ่มแบงก์ ราคาหุ้นจะปรับตัวได้โดดเด่นราว 3-4% คาดว่ากลุ่มหุ้นเติบโตสูงอย่างกลุ่มเทคโนโลยี จะลดความร้อนแรงลง และสัปดาห์แรกหลังการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศจะมีความผันผวน

สถิติหลังเลือกตั้ง “หุ้นกอดคอร่วง”

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า สถิติดัชนีหุ้นไทยต่อทิศทางการเลือกตั้งสหรัฐ 3 ครั้งก่อนหน้านี้ (ปี 2551, 2555, 2559) พบว่า 1 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับลงเฉลี่ย 3.8% และตลาดหุ้นไทยปรับลงเฉลี่ย 2.2% และ 1 เดือนหลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเฉลี่ย 8.3% และตลาดหุ้นไทยปรับลงเฉลี่ย 6.2%

“แต่ปีนี้หุ้นไทยอาจถูกผลกระทบเรื่องการเมืองในประเทศด้วยอาจปรับลงมากกว่าค่าเฉลี่ย 3 ครั้งก่อน ประเมินดัชนี SET index ปี 2564 อยู่ที่ 1,450 จุด อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เชื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ในระดับต่ำอย่างน้อย 2 ปี โอกาสลงยาก ยกเว้นมีล็อกดาวน์ หรือการเมืองรุนแรงมาก”

ไม่ว่าใครชนะ “ทองคำ” ก็ไปต่อ

ขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ไม่ว่าผลการเลือกตั้งของสหรัฐจะออกมาอย่างไร ก็เป็นบวกต่อราคาทองคำ กรณีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง สงครามการค้าสหรัฐกับจีนจะถูกสานต่อ เป็นปัจจัยบวกให้เงินไหลเข้าหาทองคำ กรณีไบเดนชนะ จากนโยบายหาเสียงที่จะกลับมาเก็บภาษีธุรกิจเพิ่ม จะส่งผลให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าทองคำเช่นกัน

ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ได้แก่ การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐต่อเนื่อง ภายใต้การคงระดับงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไว้ระดับเดิมและภายใต้ดอกเบี้ยที่จะต่ำต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2-3 ปี

ทิศทางราคาทองคำต่อจากนี้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวทองคำในประเทศ ระหว่าง 26,440-29,670 บาท/บาททองคำ ส่วนราคาทองคำต่างประเทศประเมินแนวรับที่ 1,700-1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ และแนวต้านที่ 2,000-2,100 ดอลลาร์/ออนซ์

จับตาปัจจัยเสี่ยงทองคำปรับฐาน

“ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ปัจจุบันราคาทองคำโลกเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนรอติดตามความชัดเจนผลการเลือกตั้งสหรัฐ หากไบเดนได้รับเลือกตามที่ตลาดประเมิน จะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก รวมถึงท่าทีประนีประนอมสงครามการค้ามากกว่าทรัมป์ หากไบเดนชนะเชื่อว่าเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้นมากกว่าทองคำภาพระยะกลางถึงยาว ราคาทองคำยังเป็น “ขาขึ้น” จากปัจจัยความกังวลหนี้สาธารณะสหรัฐที่จะปรับขึ้น ประเมินกรอบราคาทองคำถึงสิ้นปีนี้ที่แนวรับ 1,860 ดอลลาร์ และ 1,870 ดอลลาร์ แนวต้านที่ 1,950 ดอลลาร์ และ 2,000 ดอลลาร์ ตามลำดับ

พลิกโผทรัมป์มา ราคา “ทองคำ” วิ่งแรง

ปัจจัยหนุนหลักมาจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ในสหรัฐ ยุโรป รัสเซีย รวมถึงการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการคลัง การเงินทั่วโลกที่สภาพคล่องล้น ความกังวลระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงให้ราคาทองคำปรับฐาน ได้แก่ แรงเทขายของกองทุนดัชนีทองคำ (ETF) ความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19

หากผลลัพธ์การเลือกตั้งพลิกกลับมาเป็นทรัมป์ได้รับชัยชนะ ระยะสั้นจะเห็นแรงซื้อเข้ามาในตลาดทองคำ เนื่องจากนักลงทุนกังวลประเด็นสงครามการค้าสหรัฐกับจีน ระยะถัดไป การคงนโยบายการลดภาษีของทรัมป์จะช่วยให้เศรษฐกิจค่อย ๆ กลับมาฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลให้แรงซื้อทองคำแผ่วลง

“ไม่ว่าใครเข้ามาเป็นประธานาธิบดี จากผลกระทบโควิด-19ต่อเศรษฐกิจ เราเชื่อว่าจะต้องดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลาย เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกซึ่งจะเป็นบวกต่อราคาทองคำยาวต่อไปจนถึงปีหน้า” ธนรัชต์กล่าว