ทั่วโลกกำลังลุ้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 3 พ.ย.นี้ แม้เวลานี้โพลทุกสำนักจะออกมาในทิศทางเดียวกันว่า “โจ ไบเดน” ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกัน แต่ทุกอย่างยังไม่แน่นอน และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐก็มีอิทธิพลอย่างสูงต่อเศรษฐกิจโลก และตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
“ประชาชาติธุรกิจ” จึงได้รวบรวมมุมมองเหล่ากูรูในวงการตลาดทุน ถึงผลกระทบด้านบวกและลบต่อสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งกองทุน หุ้น และทองคำ ระหว่างการเป็นผู้ชนะของ “ทรัมป์” หรือ “ไบเดน” ซึ่งจะช่วยสะท้อนเทรนด์การลงทุน หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
- มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล เปิดชื่อผู้ถือหุ้น-ผลประกอบการ
- 10 พฤษภาคม 2567 ขึ้นทางด่วนฟรี 60 ด่าน
- ทีทีบี เสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง คุ้มครองเงินต้น 100% เปิดจอง 9-15 พ.ค. 67
นโยบาย “ไบเดน” เขย่าตลาดหุ้นสหรัฐ
เริ่มจากมุมมองนักลงทุนสถาบัน “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด ชี้ว่า พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน มีนโยบายหาเสียงแตกต่างกันพอสมควร กรณีประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แต่หากผู้ท้าชิงอย่าง “โจ ไบเดน” ชนะตามโพล ไบเดนมีแผนจะเพิ่มภาษีนิติบุคคลและภาษีบุคคลธรรมดา สร้างภาระแก่บริษัทในตลาดหุ้น โดยเฉพาะธุรกิจเทคโนโลยีซึ่งได้รับประโยชน์จากการลดภาษีมากที่สุด เชื่อว่าการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะดำเนินต่อไปแม้ท่าทีไบเดนไม่แข็งกร้าวเท่าทรัมป์ก็ตาม
“จากโพลมีโอกาสสูงที่ไบเดนจะชนะ ซึ่งนโยบายของเขาเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นสหรัฐ ประเมินว่า ตลาดหุ้นสหรัฐหลังเลือกตั้งเสี่ยงปรับฐานตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ที่มีโอกาสปรับขึ้นนโยบายการค้าที่ผ่อนคลายลง”
ตลาดจีนความเสี่ยงน้อยที่สุด
กลยุทธ์การลงทุน “สาห์รัช” มองว่า พิจารณารายประเทศจีนมีความเสี่ยงน้อยสุด มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะเข้าไปลงทุนระยะถัดไป เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเริ่มกลับมาเป็นปกติ และไม่มีการล็อกดาวน์เพิ่มเติม พิจารณาการลงทุนรายกลุ่มธุรกิจ ทิสโก้ชื่นชอบกลุ่มเทคโนโลยี เฮลท์แคร์ โดยเฉพาะไบโอเทคโนโลยี และดิจิทัลเฮลท์แคร์
สำหรับกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ ที่ลงทุนตลาดหุ้นจีน กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการแพทย์ ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า A-Shares อิควิตี้, กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า เทคโนโลยี อิควิตี้, กองทุนเปิด ทิสโก้ ไบโอเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ และกองทุนเปิดทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้
ฝรั่งกลัวสถานการณ์การเมืองไทย
อย่างไรก็ดี “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า แม้เงินลงทุนจะย้ายมาลงทุนกลุ่มประเทศเกิดใหม่ กรณีไบเดนได้เป็นประธานาธิบดี ทำให้กองทุนบางส่วนต้องเพิ่มน้ำหนักลงทุนในไทยด้วย แต่ปัจจัยการเมืองในประเทศไทยยังคงกดดันต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน จึงคาดว่าฟันด์โฟลว์ที่จะเข้ามาตลาดหุ้นไทยจะเป็นสัดส่วนน้อย
เช่นเดียวกับ “สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ที่ประเมินว่า ชัยชนะของโจ ไบเดน จะส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาในเอเชีย ซึ่งประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับประโยชน์ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานว่า ปัจจัยการเมืองในประเทศจะต้องนิ่งกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการกลับเข้ามาของเงินลงทุนต่างชาติ คือ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ธุรกิจยาง บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี ธุรกิจถั่วเหลือง บมจ.น้ำมันพืชไทยและธุรกิจเดินเรือ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง
สถิติตั้งแต่ปี 1980 (2523) พบว่า 1 เดือนหลังการเลือกตั้งสหรัฐ หุ้นคุณค่า (value stock) อย่างกลุ่มแบงก์ ราคาหุ้นจะปรับตัวได้โดดเด่นราว 3-4% คาดว่ากลุ่มหุ้นเติบโตสูงอย่างกลุ่มเทคโนโลยี จะลดความร้อนแรงลง และสัปดาห์แรกหลังการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศจะมีความผันผวน
สถิติหลังเลือกตั้ง “หุ้นกอดคอร่วง”
นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า สถิติดัชนีหุ้นไทยต่อทิศทางการเลือกตั้งสหรัฐ 3 ครั้งก่อนหน้านี้ (ปี 2551, 2555, 2559) พบว่า 1 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับลงเฉลี่ย 3.8% และตลาดหุ้นไทยปรับลงเฉลี่ย 2.2% และ 1 เดือนหลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเฉลี่ย 8.3% และตลาดหุ้นไทยปรับลงเฉลี่ย 6.2%
“แต่ปีนี้หุ้นไทยอาจถูกผลกระทบเรื่องการเมืองในประเทศด้วยอาจปรับลงมากกว่าค่าเฉลี่ย 3 ครั้งก่อน ประเมินดัชนี SET index ปี 2564 อยู่ที่ 1,450 จุด อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เชื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ในระดับต่ำอย่างน้อย 2 ปี โอกาสลงยาก ยกเว้นมีล็อกดาวน์ หรือการเมืองรุนแรงมาก”
ไม่ว่าใครชนะ “ทองคำ” ก็ไปต่อ
ขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ไม่ว่าผลการเลือกตั้งของสหรัฐจะออกมาอย่างไร ก็เป็นบวกต่อราคาทองคำ กรณีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง สงครามการค้าสหรัฐกับจีนจะถูกสานต่อ เป็นปัจจัยบวกให้เงินไหลเข้าหาทองคำ กรณีไบเดนชนะ จากนโยบายหาเสียงที่จะกลับมาเก็บภาษีธุรกิจเพิ่ม จะส่งผลให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าทองคำเช่นกัน
ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ได้แก่ การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐต่อเนื่อง ภายใต้การคงระดับงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไว้ระดับเดิมและภายใต้ดอกเบี้ยที่จะต่ำต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2-3 ปี
ทิศทางราคาทองคำต่อจากนี้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวทองคำในประเทศ ระหว่าง 26,440-29,670 บาท/บาททองคำ ส่วนราคาทองคำต่างประเทศประเมินแนวรับที่ 1,700-1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ และแนวต้านที่ 2,000-2,100 ดอลลาร์/ออนซ์
จับตาปัจจัยเสี่ยงทองคำปรับฐาน
“ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ปัจจุบันราคาทองคำโลกเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนรอติดตามความชัดเจนผลการเลือกตั้งสหรัฐ หากไบเดนได้รับเลือกตามที่ตลาดประเมิน จะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก รวมถึงท่าทีประนีประนอมสงครามการค้ามากกว่าทรัมป์ หากไบเดนชนะเชื่อว่าเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้นมากกว่าทองคำภาพระยะกลางถึงยาว ราคาทองคำยังเป็น “ขาขึ้น” จากปัจจัยความกังวลหนี้สาธารณะสหรัฐที่จะปรับขึ้น ประเมินกรอบราคาทองคำถึงสิ้นปีนี้ที่แนวรับ 1,860 ดอลลาร์ และ 1,870 ดอลลาร์ แนวต้านที่ 1,950 ดอลลาร์ และ 2,000 ดอลลาร์ ตามลำดับ
พลิกโผทรัมป์มา ราคา “ทองคำ” วิ่งแรง
ปัจจัยหนุนหลักมาจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ในสหรัฐ ยุโรป รัสเซีย รวมถึงการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการคลัง การเงินทั่วโลกที่สภาพคล่องล้น ความกังวลระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงให้ราคาทองคำปรับฐาน ได้แก่ แรงเทขายของกองทุนดัชนีทองคำ (ETF) ความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19
หากผลลัพธ์การเลือกตั้งพลิกกลับมาเป็นทรัมป์ได้รับชัยชนะ ระยะสั้นจะเห็นแรงซื้อเข้ามาในตลาดทองคำ เนื่องจากนักลงทุนกังวลประเด็นสงครามการค้าสหรัฐกับจีน ระยะถัดไป การคงนโยบายการลดภาษีของทรัมป์จะช่วยให้เศรษฐกิจค่อย ๆ กลับมาฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลให้แรงซื้อทองคำแผ่วลง
“ไม่ว่าใครเข้ามาเป็นประธานาธิบดี จากผลกระทบโควิด-19ต่อเศรษฐกิจ เราเชื่อว่าจะต้องดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลาย เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกซึ่งจะเป็นบวกต่อราคาทองคำยาวต่อไปจนถึงปีหน้า” ธนรัชต์กล่าว