HMPRO ฮอต! ราคาหุ้นพลิกบวก หลังกำไรฟื้นตัว อานิสงส์ ‘ช้อปดีมีคืน’

โฮมโปร
แฟ้มภาพ

ส่องราคาหุ้นโฮมโปร พบต้นเดือน พ.ย.เริ่มพลิกกลับเป็นบวก หลังกำไรสุทธิไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ แถมโค้งสุดท้ายของปียังได้อานิสงส์มาตรการ ‘ช้อปดีมีคืน’ โบรกฯ แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมายสูงสุด 16.50 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นของ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.ถึงปัจจุบัน (ณ 6 พ.ย.63) พบว่า ราคาหุ้นปรับขึ้น 1.43% จาก 14.10 บาท มาอยู่ที่ 14.20 บาท โดยการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลับมาเป็นบวกหลังกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ของบริษัทฯ ปรับขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว รวมถึงบริษัทฯ ยังมีแนวโน้มได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ช้อปดีมีคืน” ของภาครัฐ

ด้าน นางสาววรรณี จันทามงคล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน HMPRO เปิดเผยในงานวันบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ว่า จากมาตราการช้อปดีมีคืน ที่ให้สิทธิประชาชนลดหย่อนภาษีเงินคืนสูงสุดได้ไม่เกิน 30,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.ถึงสิ้นปีนี้ คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่เข้ามาหนุนรายได้ในช่วงโค้งสุดท้าย เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะเป็นบวกต่อกำลังซื้อในกลุ่มสินค้าคงทน โดยคาดว่ารายได้ที่เข้ามาจะช่วยให้รายได้ทั้งปี 2563 ของบริษัทฯ สามารถทรงตัวได้จากปีก่อน 2562 ที่มีรายได้ 67,423.88 ล้านบาท

ในส่วนของแผนดำเนินงานในไตรมาส 4/63 บริษัทฯ เตรียมเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 2 แห่ง โดยได้เปิดสาขาหนึ่งไปแล้วในวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 86 สาขาในปีนี้ โดยคาดว่าแผนการเปิดสาขาใหม่ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถช่วยหนุนยอดขายได้ และคาดว่าหลังการเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ครบตามแผนแล้วจะช่วยให้ยอดขายในปี 2564 เติบโตขึ้นประมาณ 2-3%

ทั้งนี้ ยอดขายของ HMPRO งวด 9 เดือนของปี 2563 อยู่ที่ 43,434 ล้านบาท ลดลง 8.32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มียอดขาย 47,375 ลัานบาท ส่วนยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในงวดไตรมาส 3/63 หดตัว 4% จากไตรมาสก่อน (QoQ) แต่เริ่มหดตัวน้อยลงจากไตรมาส 2/63 ที่ติดลบ 17% จากผลกระทบการปิดสาขาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

“ต้องยอมรับว่าโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายของเรา และกระทบต่อภาพรวมกำลังซื้อของคนในประเทศ จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้น แต่เรายังคงเดินหน้าลดต้นทุน บริหารงานให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้ยอดขายเติบโต โดยเรามีการจัดงาน HomePro Expo เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศให้กลับมา รวมถึงมีการจัดโปรโมชั่นในช่วงเทศกาลต่างๆ อีกด้วย” นางสาววรรณี กล่าว

ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แม้กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 จะปรับตัวลง 18.5% YoY จากผลการล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงรายได้ปรับลง 9.4% YoY และ SSSG ปรับลง 8.3% YoY แต่หลังการคลายล็อกดาวน์ตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.เป็นต้นมา ส่งผลให้ไตรมาส 3/63 SSSG ติดลบน้อยลง

อย่างไรก็ดี จากการค้าขายแถบชายแดน การค้าขายในเขตอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวส่งผลให้ยอดขายสาขาเดิมยังคงติดลบ แต่แม้ว่าจะมีข้อกังวลจากยอดขายก็ตาม รวมถึงปัจจัยลบภาวะน้ำท่วมในภาคอีสานที่กระทบยอดขายช่วงสั้น แต่เชื่อว่ามาตรการช้อปดีมีคืนของภาครัฐ กอปรกับช่วงไฮซีซั่นของการจับจ่ายท้ายปีและการเปิดสาขาใหม่จะเป็นปัจจัยบวกต่อยอดขาย

ขณะที่แนวโน้มธุรกิจปี 2564 คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปีนี้ แม้จะยังมีปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัว และความกังวลโควิด-19 ที่จะยังคงอยู่จนกว่าวัคซีนโควิด-19 จะออกมา แต่ด้วยบริษัทฯ มีการปรับตัวได้ดี สะท้อนจากกำไรไตรมาส 3/63 ที่ออกมาดีกว่าคาด ฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการกำไรปี’64 ขึ้น 4.4% และปรับราคาพื้นฐานขึ้นจาก 15.70 บาท มาอยู่ที่ 16.50 บาท แนะนำ “ซื้อ”

ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการประชุมของนักวิเคราะห์กับบริษัท (Analyst Meeting) พบว่า ยอดขายสาขาเดิมของ HMPRO งวดไตรมาส 3/63 ติดลบน้อยลงจาก SSSG ที่ดีขึ้นของสาขาห้าง Mega Home และสาขาโฮมโปรในประเทศมาเลเซีย

ขณะที่ผลดำเนินงานไตรมาส 4/63 คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปดีมีคืน รวมถึงประโยชน์จากการจัดงาน HomePro Expo โดยคาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น QoQ แต่ยังคงลดลง YoY

ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/63 บริษัทฯ มีการเปิดสาขาใหม่อีก 2 แห่ง โดยเน้นปรับรูปแบบให้ทันสมัย เริ่มที่รังสิตคลอง 4 ขณะที่การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ทำได้ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยลูกค้าเริ่มหันมาใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงล็อกดาวน์ ส่งผลให้รายได้ผ่านช่องทางดังกล่าวปรับขึ้น 4% ในไตรมาส 3/63 มากกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้

“เราไม่กังวลกรณีที่มีความเสี่ยงล็อกดาวน์รอบสอง เพราะคาดว่าบริษัทฯ จะปรับตัวได้ และคาดว่าจะเป็นการล็อกดาวน์เพียงแค่บางจุด อย่างไรก็ดี การลงทุนแนะนำ ‘เก็งกำไร’ ที่ราคาเหมาะสมปีหน้าที่ 16.40 บาท” นักวิเคราะห์ ระบุ