MFC ตั้ง “กองทุนกัญชา” เจ้าแรกในไทย เปิดขายหน่วย 19-27 เม.ย.นี้

กัญชา
FILE PHOTO : Lillian SUWANRUMPHA / AFP

MFC ตั้ง “กองทุนกัญชา” เจ้าแรกในไทย! เปิดขายหน่วย 19-27 เม.ย.นี้ ซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท

วันที่ 16 เม.ย. 2564 นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า MFC เล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของกัญชา-กัญชง และเทรนด์การเติบโตในอนาคต

โดย “กัญชา” พืชเศรษฐกิจกับโอกาสการลงทุน เป็นกระแสที่มาแรงในประเทศไทยอยู่ระยะหนึ่งแล้ว สำหรับเรื่องกัญชา-กัญชง ที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ โดยเมื่อกฎหมายในประเทศไทยปลดล็อกกัญชง-กัญชา ออกจากบัญชียาเสพติดมีผล 15 ธ.ค. 2563 เป็นชาติแรกของอาเซียน ทำให้ผู้ประกอบการต่างนำส่วนของกัญชา-กัญชงมาใช้ได้อย่างเปิดเผย

การขยับตัวที่เห็นได้ชัดเจนหนีไม่พ้น การนำมาเป็นส่วนผสมในอาหารและเครื่องดื่ม ที่สามารถเข้าถึงและทำได้ง่าย ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเริ่มตื่นตัวกับเรื่องกัญชา-กัญชงนั้น หลายประเทศได้มีตลาดด้านนี้มานานแล้ว โดยจัดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชา-กัญชงไว้เป็นกลุ่มธุรกิจที่ถูกกฎหมาย มีการดำเนินงานจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้น รวมถึงเป็นกองทุน ซึ่งแน่นอนว่าพืชเศรษฐกิจชนิดนี้สร้างผลตอบแทนและมีอัตราการเติบโตที่น่าประทับใจ

จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล แคนนาบิส (MFC Global Cannabis Fund) หรือ ‘MCANN’ ซึ่งถือเป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชากองแรกของประเทศไทย เตรียมเปิดเสนอขายครั้งแรก ระหว่างวันที่ 19 – 27 เมษายน 2564 นี้

โดยกองทุน ‘MCANN’ มีนโยบายการลงทุน ในตราสารทุน หน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศทั่วโลกของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทางกัญชา (Cannabis) หรือกัญชง (Hemp) ที่ถูกกฎหมาย ซึ่งรวมถึงบริษัทที่สร้างรายได้หรือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาวิจัย การพัฒนา การเพาะปลูก การผลิต ไปจนถึงการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เป็นที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางด้านกัญชาหรือกัญชง มีรูปลักษณ์และคุณสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกันตามการใช้ประโยชน์ เช่น การผลิตเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ได้แก่ การผลิตเป็นยา อาหาร สมุนไพร หรือเครื่องสำอาง หรือการผลิตเพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ ยานยนต์ หรือ กระดาษ เป็นต้น โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน (efficient portfolio management)

นายธนโชติ กล่าวว่า “MCANN” มีจุดเด่นคือเป็นกองทุนที่สร้างโอกาสการลงทุนในหุ้นธุรกิจกัญชา (Marijuana) และกัญชง (Hemp) ที่ถูกกฎหมาย ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับการวิจัยกัญชาทางการแพทย์ ทั้งด้านพัฒนายา (Pharmaceutical) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) โดยประเทศที่ใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมายมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ตลาด Cannabis ทั่วโลกจะโต 17.1% ต่อปีต่อเนื่องจนถึงปี 2025 และมีมูลค่ากว่า 5.5 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ตลาดกัญชามีแนวโน้มจะเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้อีกมาก เนื่องจากการอนุญาตให้กัญชาและผลิตภัณฑ์กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดมีจำนวนประเทศที่อนุญาตแล้วถึง 37 ประเทศทั่วโลก”

“MCANN” เน้นการเติบโตและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงในระยะยาว โดยจะลงทุนใน Global X Cannabis ETF(POTX) ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทางกัญชา (Marijuana) และกัญชง (Hemp) โดยเน้นทางการแพทย์ ที่มีโอกาสเติบโตสูง เพื่อโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี บริหารแบบ Passive management เพื่อให้ผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิง

และ MCANN เพิ่มผลตอบแทนให้กับกองทุนโดยลงทุนใน Active ETF และ/หรือ หุ้น Cannabis โดยลงทุนใน Amplify Seymour Cannabis ETF (CNBS) กองทุน Cannabis ETF ที่บริหารแบบ Active management โดยผู้บริหารที่มีประสบการณ์ด้านการลงทุนมากกว่า 20 ปี เป็นผู้ลงทุนใน cannabis ในระยะเริ่มแรก และเป็นที่รู้จักในอุตสาหกรรม

MFC Global Cannabis Fund (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล แคนนาบิส) หรือ ‘MCANN’ มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารจัดการกองทุน จะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ให้แก่ผู้สนใจลงทุนระหว่างวันที่ 19 – 27 เมษายน 2564 สั่งซื้อหน่วยลงทุนในแต่ละครั้งได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท

โดยกองทุนไม่กำหนดอายุโครงการ มีจำนวนเงินลงทุนโครงการ 3,000 ล้านบาท และไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เหมาะสำหรับเงินลงทุนที่คาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี และกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ในต่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนต้องสามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ และรับความเสี่ยงของการลงทุนในต่างประเทศได้ รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการลงทุนในต่างประเทศ