แบงก์กรุงเทพ โชว์กำไร Q1/64 อยู่ที่ 6.9 พันล้าน เร่งตั้งสำรองฯ รับความไม่แน่นอน

ธนาคารกรุงเทพ รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/64 จำนวน 6.9 พันล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 2.3% ผลจากบริหารต้นทุนเงินฝาก เช่นเดียวกับรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 15.4% พร้อมเพิ่มความระมัดระวังผ่านตั้งสำรอง 6.3 พันล้านบาท ส่วนหนี้เสียลดลงเล็กน้อยที่ 3.7%

ผู้สื่อข่าวรายงาน ธนาคารกรุงเทพ รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ว่า ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 6,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,525 ล้านบาท จากไตรมาส 4 ปี 2563 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3% จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย

เงินรับฝากลดลงจากการบริหารต้นทุนเงินรับฝาก และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 2.17% สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 15.4% จากค่าธรรมเนียมการให้บริการกองทุนรวมและบริการประกันผ่านธนาคาร และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักทรัพย์ 

ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 51.1% ทั้งนี้ ธนาคารยังคงตั้งสำรองตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 6,326 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพยังคงดำรงฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,369,276 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปี 2563 สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.7% ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีก่อน โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญในการดูแลกระบวนการอำนวยสินเชื่อและบริหารความเสี่ยง ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 187.3% 

ด้านสภาพคล่อง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 2,904,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% จากสิ้นปี 2563 โดยเพิ่มขึ้นจากเงินรับฝากทุกประเภท สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝาก (L/D) อยู่ที่ 81.6% สะท้อนถึงสภาพคล่องที่เพียงพอในการรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ด้านเงินกองทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 18.4% และ 15.9% และ 15.1% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวชะลอลงจากการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 รวมถึงมาตรการในการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดในบางพื้นที่ ขณะที่การส่งออกของประเทศไทยฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีแนวโน้มขยายตัวจากพัฒนาการการแจกจ่ายวัคซีน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากภาคการท่องเที่ยวที่มีความไม่แน่นอนในการเปิดรับนักท่องเที่ยวของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ในไตรมาสต่อ ๆ ไป แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดและการกระจายวัคซีนให้กับประชาชน นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐจะมีส่วนช่วยพยุงการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในช่วงหลายเดือนข้างหน้าเช่นกัน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังต้องใช้เวลา รวมถึงการฟื้นตัวของแต่ละภาคเศรษฐกิจยังมีความแตกต่างกัน 

รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงได้ดำเนินการออกมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจและประชาชนที่ประสบปัญหาที่แตกต่างกัน และเป็นการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจนเพื่อรองรับให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ภายหลังโควิด-19 ตามฐานวิถีชีวิตใหม่ ธนาคารมีความเข้าใจถึงสถานการณ์ที่ลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบุคคลกำลังเผชิญในขณะนี้ ธนาคารจึงยังคงเน้นการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด และให้ความช่วยเหลือกับลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม 

พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ขณะที่ยังคงรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง