TIDLOR เปิดซื้อขายวันแรก 53.50 บาท ราคาหุ้นเหนือจอง 46.57%

เงินติดล้อ

ไม่ผิดคาด! “บมจ.เงินติดล้อ” เปิดซื้อขายวันแรกราคาหุ้น “TIDLOR” เหนือจองอยู่ที่ 53.50 บาท เพิ่มขึ้น 17 บาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 46.57% จากราคาไอพีโอหุ้นละ 36.50 บาท นำเงินระดมทุนขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมแผน 2-3 ปีข้างหน้าเพิ่มสาขาใหม่อีก 500 แห่ง

วันที่ 10 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บมจ.เงินติดล้อ หรือ TIDLOR ผู้นำธุรกิจจำนำทะเบียนรถและผู้นำธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยรายย่อย ได้เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นวันแรกในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยเปิดช่วงเช้าวันนี้เป็นวันแรก ด้วยราคาเปิดตลาด 53.50 บาท เพิ่มขึ้น 17 บาท คิดเป็น 46.57% จากราคาเสนอขายประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 36.50 บาทต่อหุ้น

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับหลักทรัพย์ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “TIDLOR” ในวันที่ 10 พ.ค.นี้

โดย TIDLOR เป็นบริษัทในกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ที่ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประเภทสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน ภายใต้ชื่อ “เงินติดล้อ” นอกจากนี้ TIDLOR มีธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็น 1 ใน 3 อันดับแรกของธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยที่จำหน่ายแก่ลูกค้ารายย่อย

ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อจำนำทะเบียนที่หลากหลาย ครบวงจร และช่องทางการขายและบริการที่ครอบคลุมทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือน ธ.ค.63 มีสาขา 1,076 สาขา ครอบคลุม 74 จังหวัดทั่วประเทศ โดย TIDLOR มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคาไอพีโอที่ 84,642.94 ล้านบาท

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIDLOR กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จากปีก่อนที่มีรายได้ 10,558.9 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ 92% รายได้จากธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัย 8%

โดยมีแผนขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการขยายสาขาเพิ่มอีก 500 สาขาในช่วง 2-3 ปี หลังจากเข้าตลาด จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 1,500 สาขา และ การขยายสินเชื่อควบคู่ไปกับการบริการผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้จะมีรายได้เสริมจากธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัย เป็นอีกปัจจัยผลักดันการเติบโตของรายได้

TIDLOR มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1.ธนาคารกรุงศรีฯ ถือหุ้น 30% 2. Siam Asia Credit Access Pte. Ltd. ถือหุ้น 25% และ 3. UBS SECURITIES PTE LTD. ถือหุ้น 8.11% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO มาจากวิธีการสำรวจปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของผู้ลงทุนสถาบันในแต่ละระดับราคา (Book building) คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E Raito) ที่ 35.03 เท่า

โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่ 1 ม.ค.63 – 31 ธ.ค.63) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 1.04 บาท/หุ้น

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 62–63 มีรายได้รวม 7,569.4 ล้านบาท 9,457.9 ล้านบาท และ 10,558.9 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 1,306.2 ล้านบาท 2,201.7 ล้านบาท และ 2,416.1 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีของกำไรสุทธิอยู่ที่ 36%

ทั้งนี้ เงินติดล้อ ได้วางกลยุทธ์รักษาความเป็นผู้นำธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ผ่านการขยายเครือข่ายอีกประมาณ 500 แห่งภายในปี 2566 เพิ่มตัวแทน และ พนักงานขายทางโทรศัพท์ และ การลงทุนด้านนวัตกรรม และ เทคโนโลยี พัฒนาแพลตฟอร์มทางการเงิน และ เปลี่ยนผ่านกระบวนต่าง ๆ สู่ดิจิทัล (Digital Transformation)

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้น จะใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจให้สินเชื่อและนายหน้าประกันภัยและเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ รวม 1,150 ล้านบาท ภายในปี 66 โดยจะแบ่งเป็น การปรับปรุงสาขาเดิมและขยายสาขาของบริษัทให้ครอบคลุมการให้บริการในพื้นที่ต่าง ๆ ประมาณ 500 สาขา คาดใช้เงินทุน 340 ล้านบาท และปรับปรุงและพัฒนาโครงการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล 810 ล้านบาท

นอกจากนี้จะใช้ปรับโครงสร้างเงินทุนโดยการชำระหนี้คืนบางส่วน 5,500-6,000 ล้านบาท ภายในปี 64 และเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและวัตถุประสงค์อื่นๆ 518-545 ล้านบาท ภายในปี 2566