RATCH ทุ่มเงิน 1.55 พันล้าน ซื้อหุ้น PRINC 10% แตกไลน์ธุรกิจโรงพยาบาล

เงินบาท ตลาดหุ้น ปันผล
แฟ้มภาพ

“ราชกรุ๊ป” (RATCH) ทุ่มเงินลงทุน 1,557 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น PRINC ในสัดส่วน 10% แตกไลน์สู่ธุรกิจโรงพยาบาล ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นเบอร์ 3

วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC ในสัดส่วน 10% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ PRINC หลังจากการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บริษัทฯ

โดยแบ่งออกเป็นการลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PRINC จำนวน 346.23 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 9.09% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ PRINC หลังจากการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บริษัทฯ ในราคาหุ้นละ 4.09 บาท และการซื้อหุ้นสามัญเดิมของ PRINC จากนางสาวสาธิตา วิทยากร จำนวน 34.62 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.91% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ PRINC หลังจากการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บริษัทในราคาหุ้นละ 4.09 บาท คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,557.71 ล้านบาท โดยบริษัทจะเข้าทำสัญญาที่เกี่ยวข้องต่อไป

อนึ่ง เดิม PRINC ประกอบธุรกิจหลักเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ต่อมาได้มีการซื้อกิจการที่ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน และได้ปรับเปลี่ยนการประกอบธุรกิจหลักมาเป็นธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชน

ด้านที่ประชุม บมจ.พริ้นซิเพิล แคปิตอล (PRINC) อนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทตามแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวน 346,23 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ได้แก่ RATCH ในราคาหุ้นละ 4.09 บาท กำหนดระยะเวลาจองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในวันที่ 24-27 พ.ค.64

นายสาธิต วิทยากร กรรมการผู้จัดการ PRINC กล่าวว่า เนื่องด้วยบริษัท มีแผนการลงทุนและขยายกิจการของบริษัทฯ ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง จึงมีความประสงค์ที่จะระดมทุนเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับรองรับการขยายกิจการในอนาคตได้อย่างทันกาล โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ในการขยายธุรกิจโรงพยาบาลและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งตามแผนการลงทุนของบริษัทภายในปี 2564 จะมีการขยายโรงพยาบาลทั้งการปรับปรุงและขยายโรงพยาบาลแห่งเดิม

รวมถึงการลงทุนในโรงพยาบาลแห่งใหม่โดยวิธีการเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลเดิม และ/หรือการลงทุนสร้างโรงพยาบาลใหม่ ซึ่งคิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาทรวม ทั้งอาจนำไปใช้เป็นเงินหมุนเวียนในกิจการและหรือชำระหนี้บางส่วนให้แก่สถาบันการเงิน

ซึ่งหากบริษัทต้องใช้เงินลงทุนเกินกว่าจำนวนเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้บริษัทฯจะพิจารณาใช้เงินกู้ยืมสถาบันการเงินต่อไป ประกอบกับนักลงทุนที่มาลงทุนในครั้งนี้ มีความประสงค์ที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพจึงได้เข้าเจรจากับบริษัทจนประสบผลสำเร็จในครั้งนี้สำหรับแผนการลงทุนในโรงพยาบาลเดิมและโรงพยาบาลใหม่นั้น บริษัทฯคาดว่าจะใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในไตรมาส 3 ของปี 2564 จนถึงไตรมาส 2 ปี 2565

ทั้งนี้ การลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลแห่งใหม่อาจมีความไม่แน่นอน เนื่องจากบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับคู่สัญญา อย่างไรก็ดีระหว่างการเจรจานั้นบริษัทจะพิจารณาหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุน โดยอาจพิจารณานำเงินที่ได้รับไปใช้ในการลงทุนระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง เช่น ลงทุนในตราสารหนี้ เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำเงินมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ หรือชะลอการเบิกเงินกู้หากไม่สามารถเข้าลงทุนได้ตามแผนการลงทุนที่วางไว้

บริษัทอาจพิจารณานำเงินเพิ่มทุนที่ได้รับไปใช้เพื่อชำระหนี้สถาบันการเงินที่มีอยู่ หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทต่อไป รวมทั้งหากการเจรจาเข้าลงทุนประสบความสำเร็จ บริษัทจะเปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และดำเนินการอื่นใดตามที่กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนดต่อไป