ประกันชีวิต 6 เดือนเบี้ย 2.94 แสนล้าน โต3% คปภ.สั่งส่งตัวเลขเคลมโควิด

อุตสาหกรรมประกันชีวิต 6 เดือนแรกปีนี้ เบี้ยประกันแตะ 2.94 แสนล้านบาท โต 3.13% ขายประกันผ่านแบงก์พุ่ง รับยอดขายยูนิตลิงก์ +167% ยืนเป้าเบี้ยรวมสิ้นปีอยู่ที่ 594,397-604,797 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต -1% ถึง +1% “นายกสมาคม” เปิดขั้นตอนเคลม Home isolation และ Community isolation ล่าสุด “คปภ.” สั่งทุกบริษัทส่งตัวเลขยอดเคลมโควิดมาพิจารณา

วันที่ 3 สิงหาคม 2564 นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย. 2564) อุตสาหกรรมประกันชีวิตไทย มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม อยู่ที่ 294,897 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 3.13% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เป็นสัญญาณของการปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือน เม.ย. 64

โดยมีเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ อยู่ที่ 83,746 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.88% แยกเป็นเบี้ยประกันปีแรก อยู่ที่ 45,851 ล้านบาท ลดลงกว่า 7.52% และเบี้ยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) อยู่ที่ 37,894 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 42.26% โดยหลัก ๆ มาจากยอดขายประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิตลิงก์) ผ่านช่องทางธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันซ์) ที่โตกว่า 167% ขณะที่ตัวเลขเบี้ยประกันต่ออายุ อยู่ที่ 211,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.68% มีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ที่ระดับ 81%

ช่องทางตัวแทนยังครองส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด 48.43% มีอัตราการเติบโต 0.39% สินค้าลงทุนเติบโตมากที่สุด 38.52% ตามมาด้วยสินค้าสัญญาเพิ่มเติม (รวมประกันสุขภาพ, โรคร้ายแรง, อุบัติเหตุส่วนบุคคล) โดยเฉพาะสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพเติบโตกว่า 7.38% ขณะที่สินค้าประกันบำนาญ เติบโต 4.62%

รองลงมาเป็นช่องทางแบงก์แอสชัวรันซ์ มีส่วนแบ่งตลาด 42.08% มีอัตราการเติบโต 6.45% แน่นอนว่ายอดขายหลักมาจากยูนิตลิงก์ชำระเบี้ยครั้งเดียวที่โตกว่า 167% ตามาด้วยกลุ่มสินค้าสัญญาเพิ่มเติม, ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA), ประกันออมทรัพย์

ขณะที่ช่องทางโบรเกอร์มีส่วนแบ่งตลาด 4.69% มีอัตราการเติบโต 2.81% ช่องทางเทเลเซลส์ มีส่วนแบ่งตลาด 2.42% มีอัตราการเติบโต 2.75% และช่องทางดิจิทัล มีส่วนแบ่งตลาด 0.13% มีอัตราการเติบโตกว่า 12.63%

ทั้งนี้สิ้นปี 2564 สมาคมยังคงยืนเป้าเบี้ยประกันชีวิตรับรวม อยู่ที่ 594,397-604,797 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต -1% ถึง +1% โดยมีเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ อยู่ที่ 155,746-164,246 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต -2% ถึง +4% แยกเป็นเบี้ยประกันปีแรก อยู่ที่ 87,851-91,351 ล้านบาท ลดลง -10% ถึง -14% และเบี้ยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) อยู่ที่ 67,894-72,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% ถึง +29% ขณะที่เบี้ยประกันต่ออายุ อยู่ที่ 438,651-440,551 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต -1% ถึง 0% มีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ที่ระดับ 80-81%

โดยสถานการณ์การระบาดโควิดยังคงเป็นผลกระทบหลักต่อหลายธุรกิจทั่วโลก รวมถึงธุรกิจประกันในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้กำลังพูดคุยกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้มีการจัดสอบใบอนุญาตตัวแทนผ่านออนไลน์ได้ ซึ่งจะนำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ต่อไป

ส่วนความคุ้มครองค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เอาประกันที่จะเข้ารักษาตัวป่วยโควิดแบบ Home isolation และ Community isolation จะเป็นไปตามคำสั่งที่ คปภ.ออกประกาศมา โดยอนุโลมให้จ่ายเป็นไปตามที่ความจำเป็นทางการแพทย์และที่จ่ายจริง ไม่เกินผลประโยชน์ของกรมธรรม์ รวมไปถึงค่าชดเชยรายได้ด้วยที่ให้จ่ายได้

โดยความคุ้มครองจะเริ่มต้นตั้งแต่ผู้ป่วยตรวจพบเชื้อ ซึ่งตามเงื่อนไขของผู้เอาประกัน ถ้าเป็นผู้ป่วยระดับอาการสีเขียว สามารถพักดูแลรักษาตัวที่บ้านได้ บนเงื่อนไขแพทย์และคนไข้ให้ความยินยอม จึงเข้าเงื่อนไขการจ่ายของธุรกิจประกันได้ โดยเบื้องต้นจะจ่ายจากผลประโยชน์การรักษาผู้ป่วยนอก (OPD) ก่อน ในกรณีถ้าเกิดมีผลประโยชน์ผู้ป่วยใน (IPD) และผลประโยชน์ผู้ป่วยนอกเต็มก็จะไหลลงตามส่วนผู้ป่วยในตามเงื่อนไขในตารางกรมธรรม์ ส่วนนี้รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยรายวัน

โดยจะมีผลย้อนหลังสำหรับการรักษาแบบ Home isolation ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 64 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้ใช้ได้ ขณะที่การรักษาแบบ Community isolation เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 64

ส่วนขั้นตอนเมื่อป่วยโควิด ผู้เอาประกันต้องติดต่อโรงพยาบาลคู่สัญญา เพื่อสอบถามเปิดรับการรักษาแบบ Home isolation และทางโรงพยาบาลจะมีกระบวนการในการลงทะเบียนชื่อเข้าไปในระบบ Home isolation เพื่อให้แพทย์โทร.มาสอบถามอาการ หรือถ้าไม่มีโรงพยาบาลคู่สัญญาให้โทร.ไปที่ 1330 ทาง สปสช.จะนำเข้าไปในระบบ Home isolation ให้ได้

โดยล่าสุดทาง คปภ.ได้ส่งหนังสือเวียนมาให้ทางสมาคมช่วยกระจายให้บริษัทประกันชีวิตเพื่อขอให้ช่วยส่งตัวเลขยอดเคลมสินไหมโควิดให้กับทาง คปภ.มาพิจารณา ซึ่งปัจจุบันทางสมาคมไม่มีตัวเลขรวม เนื่องจากแต่ละบริษัทเก็บข้อมูลกันไว้เอง อย่างไรก็ตามถ้าให้ประเมินผลยอดเคลมในภาพรวมต้องบอกว่าน่าจะสูงตามยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่รุนแรงอยู่ในขณะนี้