จับตาเฟดส่งสัญญาณลด QE กดดันบาทเคลื่อนไหว 33.50 บาท

เงินบาท

แบงก์ประเมินกรอบเงินบาทเคลื่อนไหว 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์ เกาะติดการประชุม Jackson Hole เฟดส่งสัญญาณลด QE กดดันตลาดเกิดใหม่-ค่าเงินบาท ด้านกระแสเงินทุนไหลออกต่อเนื่อง

วันที่ 22 สิงหาคม 2564 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรอบเงินบาทสัปดาห์หน้า (วันที่ 23-27 สิงหาคม 64) เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ปัจจัยที่ต้องติดตามจะเป็นการประชุม Jackson Hole โดยตลาดจะรอดูการส่งสัญญาณของประธานกลางสหรัฐฯ (เฟด) เรื่องการผ่อนคลายมาตรการเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าตลาดคาดการณ์ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดมีความผันผวน โดยจะกดดันตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงค่าเงินบาท

สำหรับตัวเลขในประเทศจะเป็นตัวเลขการส่งออกและนำเข้า ซึ่งประเมินว่าการส่งออกจะปรับลดลง เนื่องจากมีการระบาดคลัสเตอร์โรงงาน รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในยุโรป และสหรัฐฯ โดยโฟกัสตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับดีขึ้นหรือไม่ เนื่องจากจะเป็นการส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด

ขณะที่กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามีกระแสเงินทุนไหลออกทั้งตลาดหุ้นและบอนด์ โดยตลาดหุ้นขายสุทธิ 2,600 ล้านบาท และตลาดบอนด์ขายสุทธิ 6,000 ล้านบาท เป็นผลมาจากตลาดมีความกังวลเรื่องเฟดจะปรับลด QE ทำให้ตลาดเกิดใหม่โดยแรงเทขายเพื่อทำกำไร ซึ่งหากดูตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นมียอดขายสุทธิกว่า 1 แสนล้านบาท

“ทิศทางค่าเงินบาทช่วงนี้ผู้เล่นในตลาดมองว่าเหตุการณ์โควิดในประเทศเลยจุดพีคไปแล้วเลยทำให้กลับมาถือบาทมากขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่ามาก ซึ่งสัปดาห์หน้าต้องรอดูสัญญาณของประธานเฟดในการประชุมที่ Jackson Hole ว่าจะส่งสัญญาณลด QE หรือไม่”

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรอบเคลื่อนไหวในสัปดาห์หน้าอยู่ที่กรอบ 33.20-33.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยเหตุการณ์สำคัญอยู่ที่งานสัมมนาวิชาการที่เมือง Jackson Hole ซึ่งคาดว่าประธานเฟดจะใช้เป็นเวทีส่งสัญญาณอย่างชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแนวทางการลดขนาดโครงการซื้อสินทรัพย์ (QE)

ขณะที่ สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ เรื่องการจัดสรรวัคซีน และข้อมูลส่งออกนำเข้าเดือนกรกฎาคมนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามเช่นกัน

“ตลาดคาดว่าเฟดจะเริ่มลด QE ในไตรมาส 4 ของปีนี้ต้องดูว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์จากประธานเฟด”