เปิดโผ 9 กลุ่มหุ้นดันตลาด Q2 พิษล็อกดาวน์ฉุดกำไรบจ.ไตรมาส 3 ร่วง

trading -หุ้นไทย

โบรกฯส่องกำไร บจ.ไตรมาส 2 โตเกินคาด-ฟันธงไตรมาส 3 ร่วง “บล.เคทีบีเอสที” ชี้กำไรพิเศษ-สต๊อกน้ำมันหนุนกำไรรวมไตรมาส 2 ออกมาสวย เผย 9 เซ็กเตอร์ตัวหลักดันภาพรวมตลาดดีกว่าคาด ประเมิน Q3 ร่วงระนาวทุกกลุ่ม เว้น “โลจิสติกส์-โรงพยาบาล-ส่งออก” ฟาก “บล.กสิกรไทย”คาดการณ์กำไร บจ.ไตรมาส 3 ฮวบลงมากกว่า 10%

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบีเอสที (KTBST) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การประกาศงบการเงิน งวดไตรมาส 2/2564 ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีอัตรากำไรสุทธิรวมกันกว่า 2.75 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาส 1/2564 (QOQ)

ขณะที่ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ mai มีกำไรสุทธิรวมกันอยู่ที่ 2,657 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 253% YOY แต่ลดลง 22% QOQ

“กำไรตลาดหลักทรัพย์ไตรมาส 2 นับว่าดีกว่าคาด และดีกว่า Bloomberg Survey อยู่ที่ 10% โดยบริษัทส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่มาก เนื่องจากการระบาดเริ่มรุนแรงในเดือน มิ.ย. 2564 ซึ่งผลกระทบจะชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 3” นายมงคลกล่าว

สำหรับเซ็กเตอร์ที่มีผลต่อกำไรตลาดในไตรมาส 2 นี้ มีด้วยกัน 9 เซ็กเตอร์หลัก (ดูตาราง) โดยส่วนใหญ่กำไรออกมาดีกว่าคาด ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เกิดจากรายการพิเศษ และกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (stock gain) รวมไปถึงได้ประโยชน์จากการระบาดโควิด

ด้านการติดเชื้อโควิดที่ลามไปยังโรงงานอุตสาหกรรมและภาคก่อสร้าง มีผลต่อซัพพลายเชนและภาคการผลิตไทยจากก่อนหน้านี้ไม่ได้รับผลกระทบมากนักโดยเฉพาะโรงงานในกรุงเทพฯ สมุทรปราการ และชลบุรี คาดว่าจะได้รับผลกระทบตลอดไตรมาส 3 และจะส่งผลต่อกำไรตลาด ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวและการเงินกระทบนานกว่าเดิม

โดยรวมกลุ่มที่มีกำไรเติบโตดีได้ต่อเนื่องจะมีแค่ 2-3 กลุ่มในไตรมาส 3 คือ โลจิสติกส์, โรงพยาบาล และส่งออก จากปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น หุ้นโรงพยาบาลมีกำไรจากรักษาผู้ป่วยโควิดในฮอสพิเทล,หุ้นโลจิสติกส์ได้อานิสงส์การขนส่งโตดีมาก, หุ้นส่งออกได้ประโยชน์เงินบาทอ่อนค่า ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ถูกผลกระทบโควิดเต็ม ๆ ในไตรมาส 3

“เราคาดว่ากำไรตลาดปี 2564 จะได้รับผลกระทบลดลงราว 3-6% หรือ 2.4-4.8 หมื่นล้านบาท และมีผลต่อเป้าหมาย SET Index ปรับลงจากประมาณการเดิม 50-100 จุด โดยกรณีลดลง 3% กำไรปีนี้จะเหลือ 783,584 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 69.17 บาทต่อหุ้นดัชนีอยู่ที่ 1,603 จุด ส่วนกรณีลดลง 6% จะเหลือกำไร 759,350 ล้านบาท EPS ที่ 67.04 บาทต่อหุ้น ดัชนีอยู่ที่ 1,554 จุด” นายมงคลกล่าว

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กำไรงวดไตรมาส 2 ปีนี้ บจ.ที่บริษัทประเมินครอบคลุม 176 แห่ง มีกำไรสุทธิรวมกัน 230,741 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 107% YOY และเพิ่มขึ้น 6% QOQ ซึ่งอัตรากำไรดีกว่าคาดประมาณ 8.4% โดยหลัก ๆ เป็นหุ้นกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และมีกำไรขั้นต้น (gross margin) ที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ เซ็กเตอร์หลักที่เติบโตโดดเด่น คือธุรกิจเกี่ยวข้องกับพลังงาน หรือกลุ่ม global play ส่วนหนึ่งมาจากกำไรสต๊อกน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน (FX) จากการส่งออก ส่วนกลุ่ม domestic play อ่อนตัวตามคาด

ขณะที่ข้อมูล Bloomberg รายงานภาพรวม บจ.ไทยใน SET และ mai รวม 622 แห่ง มีกำไรไตรมาส 2 อยู่ที่ 266,641 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121% YOY และเพิ่มขึ้น 3.8% QOQ (เพิ่มขึ้น 276 แห่ง ลดลง 346 แห่ง)

เฉพาะบริษัทใน SET 486 แห่ง มีกำไรสุทธิ 265,413 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.3% YOY และเพิ่มขึ้น 4% QOQ (เพิ่มขึ้น 219 แห่ง ลดลง 267 แห่ง)

นายสรพลกล่าวอีกว่า แนวโน้มกำไรงวดไตรมาส 3/2564 หุ้นกลุ่มพลังงานกำไรจะลดลง เพราะราคาน้ำมันลงมามากเช่นเดียวกับหุ้นกลุ่ม domestic play ที่คาดว่ากำไรจะลดลงอย่างน้อย 15-20% เพราะเจอผลกระทบล็อกดาวน์ในเดือน ก.ค.-ส.ค. รวมไปถึงหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างที่โดนล็อกดาวน์ 30 วัน กระทบแผนการก่อสร้าง

ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องคือ หุ้นส่งออกและโลจิสติกส์ ขณะที่กลุ่มที่เหลือถ้าเทียบไตรมาสก่อนหน้า น่าจะปรับตัวติดลบกันเกือบหมด

“ถ้าประเมินกำไรตลาด หุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 10% หุ้นธนาคารลด 5-10% หุ้นค้าปลีกลด 15% ภาพรวมกำไรตลาดไตรมาส 3 ก็น่าจะลดลงมากกว่า 10% ลงไปเหลือระดับ 2 แสนล้านบาท ซึ่ง EPS มีโอกาสสูงมากที่จะปรับลงจากระดับปัจจุบันที่อยู่ 91 บาทต่อหุ้น ส่วนเป้า SET Index ทั้งปี เราปรับลงจาก 1,680 จุด เป็น 1,610 จุด”