ธปท.จี้เร่งแก้ 5 จุดเปราะบาง “แผลเป็น” เศรษฐกิจไทย

นักวิจัยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธปท. จี้เร่งแก้ 5 จุดเปราะบางเศรษฐกิจไทย-1 จุดเปราะบางสังคมไทย ชี้เพื่อรับมือบริบทใหม่โลกที่เปลี่ยนแปลงไป

นายสุพริศร์ สุวรรณิก นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน PIER Research Brief ครั้งที่ 1/2564 เรื่อง “โครงสร้างเศรษฐกิจสังคมไทย : ความเปราะบางท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง” ว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในบริบทของโลกที่ไม่เหมือนเดิม

จากการทำวิจัยพบว่า ไทยกำลังเผชิญกับ 5 จุดเปราะบางทางเศรษฐกิจ และอีก 1 ความเปราะบางทางสังคม ได้แก่

1.เศรษฐกิจไทยเปราะบางต่อความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการพึ่งพาต่างประเทศในระดับสูง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ความเปราะบางจากการพึ่งพิงจีน และสหรัฐอเมริกา ในหลายด้าน อาทิ การส่งออกไปยัง 2 ประเทศที่มีมูลค่ารวมกันเกือบ 1 ใน 3 ของการส่งออกทั้งหมด การท่องเที่ยวที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวจีนสูงถึง 28% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

2.หากปรับตัวไม่ทัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่อาจทำให้ไทยตกขบวนรถไฟได้ ยกตัวอย่าง ความเปราะบางของโครงสร้างการส่งออกไทย ที่มีมูลค่าเพิ่มที่ไทยสร้างได้อยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นกลางและขั้นสูง ชี้ให้เห็นว่าการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติมายังธุรกิจไทยยังมีไม่สูงนัก

3.ภาวะโลกร้อนจะส่งผลใหญ่หลวงต่อไทย หากไม่เร่งปรับตัวตั้งแต่วันนี้ โดยตัวอย่าง คือ ความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรมไทยที่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น โดยมากกว่า 1 ใน 3 ของแรงงานนอกภาคเกษตรทั้งประเทศ มากกว่า 20% ของจำนวนสถานประกอบการ และมากกว่า 10% ของธุรกิจในอุตสาหกรรมส่งออกหลัก อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

4.การเข้าสู่สังคมสูงอายุส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยหลายด้าน โดยหากมองความเปราะบางของโครงสร้างแรงงานไทยพบว่า มีสัดส่วนแรงงานสูงวัย (มากกว่า 50 ปี) เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ในช่วงไม่ถึง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มจาก 3.4% ในปี 2545 มาสูงถึง 9.9% ในปี 2562

5.วิกฤตโควิด-19 ได้สร้างหลายแผลเป็นต่อเศรษฐกิจไทย ตัวอย่างสำคัญคือ ความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนไทยที่เพิ่มขึ้น โดยพบว่าครัวเรือนไทยเริ่มผิดนัดชำระหนี้ และมีหนี้เสียเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้กู้อายุน้อย ซึ่งมีหนี้เร็วและมีสัดส่วนผู้กู้ที่มีหนี้เสียมากอยู่แล้วก่อนเกิดวิกฤต

ขณะที่ประเด็นด้านสังคม งานวิจัยนี้ได้ฉายภาพความเปราะบางของสังคมไทยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และอาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการที่หลายภาคส่วนจะร่วมมือกันดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขความเปราะบางทางเศรษฐกิจได้อย่างลุล่วง

ความสมานฉันท์ในสังคมไทยอยู่ในระดับต่ำ

โดยคณะผู้วิจัยได้ทำการสำรวจออนไลน์ในโครงการ “คิดต่าง อย่างมีภูมิ” ตั้งแต่เดือนสิงหาคม–กันยายน 2564 จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 2,000 ราย ที่สามารถสะท้อนความหลากหลายทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยได้ และพบว่า ความสมานฉันท์ในสังคมไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับคุณภาพสังคมด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะในมิติของความเชื่อมั่นในองค์กรที่อยู่ในระดับต่ำในกลุ่มคนรุ่นใหม่ หากวัดจากทัศนคติและค่านิยม

ผู้วิจัยพบว่า คนรุ่นใหม่มีค่านิยมค่อนไปทางเสรีนิยมมากกว่าคนรุ่นเก่าอย่างมีนัยสำคัญ และความ “คิดต่าง” ของคนในสังคมอาจนำไปสู่ความแตกแยกทางสังคมได้ เพราะกลุ่มที่คิดต่างมักมีความรู้สึกไม่ดีต่อคนต่างความคิด และมองความต่างระหว่างสองกลุ่มมากเกินกว่าความเป็นจริง

นอกจากนั้น คณะผู้วิจัยพบว่า ความต่างวัย และพฤติกรรมการบริโภคสื่อด้านเดียวมีความสัมพันธ์ต่อความแตกแยกทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน ความมั่นคงในชีวิต การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่คิดต่าง อาจช่วยลดความแตกแยกได้

ที่น่าสนใจ คือ คนที่คิดต่าง อาจไม่ได้ต่างอย่างที่คิด โดยแท้จริงแล้วคนสองกลุ่มมีความเห็นตรงกันในเชิงนโยบายหลายประการ เช่น รัฐควรจัดเก็บภาษีให้มากขึ้นเพื่อพัฒนาบริการขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพสูง คะแนนเสียงของทุกคนควรมีค่าเท่ากันในการเลือกตั้ง เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ผลการศึกษานี้สะท้อนความเปราะบางของสังคมไทย ซึ่งหากไม่แก้ไข ก็อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความเปราะบางทางเศรษฐกิจ นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้น

ดังนั้น การปลดล็อคความเปราะบางทางสังคมถือเป็นกุญแจสำคัญ และสามารถเริ่มแก้ไขได้ด้วยการ “คิดต่าง อย่างมีภูมิ” ผ่าน 4 เรื่อง ได้แก่

  • เปิดใจ ที่จะมองเห็นเข้าใจมุมมองคนคิดต่าง
  • รับฟัง คนรอบข้าง คนคิดต่าง รับข้อมูลหลากหลาย
  • พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
  • ร่วมมือ แก้ไขปัญหาด้วยกันระหว่างหลายภาคส่วน

เพื่อสร้าง “ความสมานฉันท์ในสังคมไทย” ซึ่งจะนำมาสู่การแก้ไขปัญหาความเปราะบางของประเทศอย่างตรงจุด ทันเวลา และนำมาสู่สังคมไทยที่มีการพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน