บล.ฟิลลิป ประเมินตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,700 จุดอีกครั้ง ในกรอบ 1,690-1,705 จุด แรงหนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบ WTI-Brent ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องประมาณ 7-8% จากเหตุความตึงเครียด รัสเซีย-ยูเครน ยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลาย-ฟันด์โฟลว์ต่างชาติเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
วันที่ 2 มีนาคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า ดัชนี SET Index เช้านี้มีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,700 จุดอีกครั้ง ในกรอบระหว่าง 1,690-1,705 จุด โดยแรงหนุนวันนี้คาดว่าจะมาจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องประมาณ 7-8% จากเหตุความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลาย
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- ทูลเกล้า 11 รายชื่อคณะรัฐมนตรี เศรษฐา 1/1 ออก 4 เข้าใหม่ 6 ตำแหน่ง
ล่าสุดมีรายงานว่าทางรัสเซีย-ยูเครน จะเจรจากันครั้งที่ 2 ในวันนี้ ซึ่งหากมีสัญญาณเชิงบวกในการยุติสงครามออกมา คาดว่าตลาดทั่วโลกจะฟื้นตัวแรงได้อีกครั้ง ขณะที่ภาวะสงครามทำให้ความกังวลต่อนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดลง
โดยนักลงทุนคาดว่าการประชุม FOMC เดือน มี.ค. 2565 นั้น Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ซึ่งต้องติดตามถ้อยแถลงจากประธาน Fed ต่อสภาคองเกรสในคืนนี้ และรอติดตามการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ. 2565 ของยูโรโซนคาดขยายตัว 5.3%
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน หุ้นขนาดใหญ่ของไทยยังน่าสนใจจากทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่กลับมาไหลเข้ามากขึ้นด้วยเศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวในปี 2565 โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการจากมาตรการ Test&Go และเปิดพรมแดนมากขึ้นของหลายประเทศ
นอกจากนี้สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้นานาชาติทยอยคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ส่งผลให้มีแนวโน้มที่กองทุนต่างประเทศ ที่ลงทุนในดัชนีฝั่ง Emerging Market ต้องปรับพอร์ตการลงทุนโดยย้ายเม็ดเงินออกจากรัสเซียไปยังตลาดอื่นทำให้ไทยได้ประโยชน์ทางอ้อม ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำยังคงคำแนะนำถือเงินสดและซื้อสะสมในหุ้นปันผลโดดเด่นจนกว่าสถานการณ์จะเริ่มนิ่ง
ทั้งนี้วันนี้ติดตามการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ซึ่งตลาดคาดว่าทาง OPEC+ จะยังคงกำลังการ
ผลิตไว้ตามเดิมที่ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือน เม.ย. 2565 แม้ว่าราคาน้ำมันดิบโลกจะปรับขึ้นทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรล จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนก็ตาม
แต่ที่น่ากังวลคือ หากสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อและนำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรด้านพลังงานคาดจะทำให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะในยุโรปที่ต้องหาแหล่งพลังงานใหม่แทนที่รัสเซีย โดยผลกระทบจะเกิดขึ้นในวงกว้างต่อปัญหาภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกรวมถึงไทยในฐานะผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ จึงต้องติดตามใกล้ชิด
ประเมินฟันด์โฟลว์ต่างชาติเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้งโดยใน 2 วันทำการที่ผ่านมา มีสถานะซื้อสุทธิเฉลี่ย 4,000 ล้านบาทต่อวัน ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีฟันด์โฟลว์ต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 81,000 ล้านบาท แต่เดือนนี้ต้องติดตามการประชุม FOMC ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนนโยบายทางการเงินของ Fed จนอาจทำให้ทิศทางของฟันด์โฟลว์เปลี่ยนไปฝั่ง Developed Market ได้อีกครั้ง หาก Fed ใช้โยบายทางการเงินแบบเข้มงวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้