หุ้นไทยพักตัวแนวรับ 1,640 จุด เงินไหลออกสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก กังวลเงินเฟ้อสหรัฐ

เล่นหุ้น-ลงทุนหุ้น หุ้นไทย
ภาพ Pixabay

โบรกเกอร์ “ฟินันเซีย ไซรัส” ประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้ พักตัวแนวรับ 1,640 จุด เงินไหลออกสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกกังวลเงินเฟ้อสหรัฐ แนะนำทยอยลดพอร์ตบางส่วนช่วงตลาดปรับขึ้นหาระดับ 1,660-1,680 จุด แนะนำซื้อหุ้นเด่น BCP จากค่าการกลั่นที่เร่งขึ้น-ปั๊มน้ำมันคาดทยอยฟื้นตัวตามการ Reopening

วันที่ 6 มิถุนายน 2565 บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดดัชนี SET Index ยังแกว่งพักตัวต่อเนื่องลงหากรอบ 1,640 จุด (บวก-ลบ) จากบรรยากาศการลงทุนที่ไม่สดใสนัก โดยเม็ดเงินยังไหลออกจากสินทรัพยเ์สี่ยงต่อเนื่อง จากความกังวลนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่ตึงตัวเร็วเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังสหรัฐประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสัปดาห์ก่อน

ทั้ง ISM ภาคการผลิตและการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน พ.ค. ออกมาสูงกว่าคาด แต่กลุ่มพลังงานคาดยังพยุงตลาดให้ไม่ปรับลงแรงนัก หลังราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแรง อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบที่สูงและยังไม่มีท่าที่ปรับลงแรงยังเป็นปัจจัยกดดันด้านต้นทุนการผลิต รวมถึงทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง

เรายังประเมิน SET Index ยังแกว่งตัวแข็งแกร่งกว่าหุ้นโลกจากอานิสงส์ของเศรษฐกิจไทยที่เป็นขาขึ้น แต่จาก Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว รวมถึง EPS และ SET Target ที่มี Downside

เราจึงแนะนำทยอยลดพอร์ตบางส่วนช่วงตลาดปรับขึ้นหาระดับ 1,660-1,680 จุด หลังจากสะสมไปแล้วบริเวณ 1,600 จุด และยังคงเน้นลงทุนในหุ้น Value Play ที่มี PER/PBV ไม่สูงเทียบกับช่วงปี 2019 ก่อนมี COVID-19 และยัง Laggard ตลาด

สำหรับกลยุทธ์ เน้นลงทุนหุ้น Value และ Laggard Play ที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 2 และครึ่งปีหลังของปี 2022 แข็งแกร่ง โดยหุ้นเด่นเดือน มิ.ย. ประกอบด้วย BCP, CK, CPALL, MAJOR, SAWAD

แนะนำหุ้นเด่นวันนี้คือ BCP แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก FSSIA อยู่ที่ 40 บาท โมเมนตัมกำไรไตรมาส 2 คาดยังแข็งแกร่งต่อเนื่องจากค่าการกลั่นที่เร่งขึ้น QoQ หนุนธุรกิจโรงกลั่นยังโดดเด่น ขณะที่ธุรกิจปั๊มน้ำมันคาดทยอยฟื้นตัวตามการ Reopening หนุนปริมาณขายกลับมาเติบโต เราคาดกำไรปกติปีนี้เติบโตแรง 101% YoY จากฐานต่ำปีก่อน ขณะที่ Valuation ยังถูก ปัจจุบันเทรด PER เพียง 6.6 เท่าและ PBV ที่ 0.8 เท่า ต่ำกว่าช่วงก่อน COVID-19 ให้แนวรับ 32 บาท แนวต้านที่ 34 และ 35.25 บาท

ทั้งนี้ประเด็นสำคัญในวันนี้คือ 1.การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.9 แสนตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาดที่ 3.25 แสนตำแหน่ง สะท้อนภาคแรงงานที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามตลาดกลับมองว่าปัจจัยดังกล่าวยิ่งตอกย้ำว่า FED จะดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นเร็วทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ย และลดงบดุลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เม็ดเงินยังคงไหลออกจากสินทรัพยเ์สี่ยง โดยเฉพาะหุ้น PER สูง ภาพรวมยังคงสอดคล้องกับที่เราประเมินว่าหุ้น Value และ Laggard Play ยังคงแข็งแกร่งกวา่ ตลาด เรายังชอบกลุ่มโรงกลั่น, เนื้อสัตว์, ธนาคาร, ไฟแนนซ์, ยานยนต์, รับเหมาฯ เป็นต้น

2.การประชุม OPEC+ ตกลงเพิ่มกำลังการผลิตเร่งขึ้นในเดือน ก.ค. อีก 6.48 แสนบาร์เรลต่อวัน จากเดือน มิ.ย.ที่เพิ่ม 4.32 แสนบาร์เรลต่อวัน เพื่อชดเชยรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร อย่างไรก็ตามตลาดมองว่ายังไม่เพียงพอกับ Demand ที่เพิ่มขึ้นตามการ Reopening ทั่วโลก รวมถึงจีนที่เริ่มคลายล็อกดาวน์

ส่งให้ราคาน้ำมันดิบ WTI เร่งขึ้นแตะ 120 เหรียญต่อบาร์เรล กดดันเงินเฟ้อโลกต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะภาคการผลิต ยังคงถูกกดดันจากปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้นและเป็น Downside ต่อ EPS และ SET Target

3.กลุ่มค้าปลีก เริ่มเห็นการอ่อนลงของกำลังซื้อเกิดขึ้นกับ Home Improvement ประกอบกับฐานสูงจากราคาเหล็กปีก่อน ทำให้ SSSG เดือน พ.ค. HMPRO และ GLOBAL ถอยลง เป็นติดลบ ส่วน DOHOME ลดเหลือหลักเดียว และ SSSG ไตรมาส 2 ลดชัดเจนจาก 1Q22 มีเพียง ILM ที่ยังปรับขึ้นได้ จากผู้ประกอบการจังหวัดท่องเที่ยวกลับมาเปิดร้านอาหาร ผับ บาร์ กันอีกครั้ง จึงเห็นการฟื้นของสินค้าเฟอร์นิเจอร์ระยะสั้น

ส่วน CRC ยังบวกได้ดี จาก Food และ Fashion ที่ฐานต่ำมากปีก่อน ขณะที่กลุ่มสินค้าจำเป็นดูดีสุด CPALL ยังบวกได้สองหลัก MAKRO Lotus’s ทยอยฟื้น ส่วน BJC รายเดือนลดลง แต่ทั้งเฉลี่ย ไตรมาส 2 ยังดีกว่าไตรมาส 1 จะเห็นว่ากลุ่มสินค้าจำเป็นฟื้นตัวตามการ Reopen และยังปลอดภัยในภาวะเงินเฟ้อ เราชอบ CPALL มากที่สุด (ราคาเป้าหมายจาก FSSIA อยูที่ 82 บาท) ส่วน ILM แนะนำ “เก็งกำไร” จาก SSSG ที่ดีและ Valuation ถูก (ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก Consensus อยู่ที่ 21.35 บาท)