
ทำความรู้จัก “บัตร EMV” ตัวละครสำคัญของนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” และเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการผลักดันตั๋วร่วมของรัฐบาล ส่งเสริมการเชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า
นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” หนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการนำของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ใช้บริการรถไฟฟ้า ส่งเสริมการใช้บริการขนส่งสาธารณะ และลดปัญหาการจราจร ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ตุลาคม 2566 โดยเริ่มต้นจากรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เป็น 2 สายนำร่องในโครงการนี้ และกำลังจะขยายให้ครอบคลุมทุกสาย ตั้งแต่ 30 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
แน่นอนว่า หนึ่งในตัวละครสำคัญของนโยบายนี้ คือสิ่งที่เรียกว่า “บัตร EMV” ซึ่งมีการใช้งานในระบบรถไฟฟ้ามาเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว และจะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการผลักดันระบบตั๋วร่วมสำหรับรถไฟฟ้าทุกสายอีกด้วย
“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนทำความรู้จัก และสำรวจภาพของการใช้งานบัตร EMV ในระบบรถไฟฟ้าและขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ให้มากขึ้น
บัตร EMV คืออะไร ?
บัตร EMV ไม่ใช่บัตรประเภทใหม่ที่หลายคนอาจจะเข้าใจ แต่เป็นชื่อเรียกมาตรฐานความปลอดภัยของบัตรชำระเงิน
โดย EMV ย่อมาจากชื่อของ 3 เครือข่ายการชำระเงิน ได้แก่ Europay, Mastercard and Visa ซึ่งร่วมกันกำหนดมาตรฐานสำหรับการทำงานระหว่างกันของบัตรที่มี IC Chip เช่น บัตรเครดิต กับเครื่อง Terminal เช่น เครื่องรูดบัตร หรือตู้ ATM ซึ่งต่อมาบัตรเครดิตค่ายอื่น ๆ ก็เข้าร่วมเพิ่มขึ้น และพัฒนากลายเป็นมาตรฐานสากล (แตกต่างจากบัตรแถบแม่เหล็กแบบเดิม)
มาตรฐาน EMV จะกำหนดวิธีการติดต่อในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับกายภาพ ระดับการเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และระดับแอปพลิเคชั่น สำหรับธุรกรรมทางการเงิน จึงทำให้มีความปลอดภัยและใช้งานร่วมกันได้ทั่วโลก โดยองค์ประกอบสำคัญคือการมีข้อมูลดิจิทัลแบบพลวัตอยู่ในทุกธุรกรรม ทำให้ธุรกรรมลักษณะนี้มีความปลอดภัย ยากต่อการทำซ้ำ
มาตรฐาน EMV ทำหน้าที่เป็นแกนหลักของเทคโนโลยีด้านการชำระเงิน โดยจะทำให้ธุรกรรมผ่านบัตรและช่องทางชำระเงินต่าง ๆ มีความปลอดภัยสูงขึ้น ชาญฉลาดยิ่งขึ้น และไว้วางใจได้มากขึ้น และเมื่อผนวกกับเทคโนโลยี Contactless (การชำระเงินแบบแตะจ่าย) ทำให้การชำระเงินแบบไร้สัมผัสได้รับการปกป้องด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยหลายชั้น โดยไม่ต้องยุ่งยากกับเงินสดอีกต่อไป ด้วยการชำระเงินที่รวดเร็วและง่ายดาย เพียงแค่แตะเพื่อจ่ายเงินในทุกแห่งที่คุณเห็นสัญลักษณ์ Contactless
ระบบ EMV ช่วยเปลี่ยนโฉมการใช้งานระบบรถไฟฟ้า จากเดิมที่ต้องมีบัตรโดยสารของผู้ให้บริการแต่ละสายแยกกัน หรือต้องซื้อเหรียญ-ซื้อตั๋วโดยสารในแต่ละครั้ง เป็นการที่สามารถใช้งานบัตรเครดิต/บัตรเดบิต แตะเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้าได้ทันที ลดการพกบัตรหลายใบได้ ซึ่งประเทศไทยมีการผลักดันสังคมไร้เงินสด ส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัล รวมถึงบัตรเดบิตมาตั้งแต่ปี 2559
รถไฟฟ้าไทย ใช้ EMV ได้ที่สายไหน ?
บัตร EMV หรือบัตรเครดิต-บัตรเดบิต เริ่มนำมาใช้งานในการเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้าได้ ตั้งแต่ปี 2565 โดยปัจจุบัน ระบบรถไฟฟ้าในประเทศไทย รองรับการใช้งานบัตร EMV ในการเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้าได้ทั้งหมด 6 สาย คือ
- MRT สายสีน้ำเงิน
- MRT สายสีม่วง
- MRT สายสีชมพู
- MRT สายสีเหลือง
- รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สายสีแดงอ่อน-สายสีแดงเข้ม)
โดยผู้ใช้งานบัตร EMV จะได้รับส่วนลด 14-15 บาท เมื่อเดินทางเปลี่ยนถ่ายระบบรถไฟฟ้าสายที่กำหนด คือ MRT สายสีน้ำเงิน-สายสีม่วง (เปลี่ยนสายที่สถานีเตาปูน) MRT สายสีเหลือง-สายสีน้ำเงิน (เปลี่ยนสายที่สถานีลาดพร้าว) และ MRT สายสีม่วง-สายสีชมพู (เปลี่ยนสายที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี)
และยังสามารถใช้งานได้ในรถโดยสารสาธารณะ ที่ดำเนินการโดย ขสมก. และใช้ในการชำระค่าผ่านทางด่วนและทางพิเศษได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ การรองรับการใช้งานบัตร EMV ในระบบรถไฟฟ้า จะมีรายละเอียดต่างกัน โดยรถไฟฟ้า MRT รองรับการใช้งานเฉพาะ บัตรเครดิตทุกธนาคาร และบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย และธนาคารยูโอบี ที่มีสัญลักษณ์ VISA และ Mastercard และรองรับการใช้งาน Contactless ส่วนรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง รองรับการใช้งานทั้งบัตรเครดิตและบัตรเดบิตทุกธนาคาร เครือข่าย VISA, Mastercard, JCB, UnionPay
ขณะที่หากต้องการใช้บัตร EMV เพื่อเชื่อมต่อ รถไฟฟ้าสายสีแดง-รถไฟฟ้าสายสีม่วง จะใช้ได้แค่บัตรเครดิต VISA, Mastercard และบัตรเดบิตธนาคารกรุงไทย และธนาคารยูโอบี VISA, Mastercard เท่านั้น เช่นเดียวกับการใช้งานในระบบรถไฟฟ้า MRT
นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้งานบัตร Prepaid Card หรือบัตร Travel Card สำหรับการนำไปใช้งานในต่างประเทศ ก็สามารถนำมาใช้งานแตะเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้าได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงผู้ใช้งาน บัตรโดยสาร MRT รุ่นใหม่ MRT EMV Card สามารถนำมาใช้แตะเพื่อเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้าที่รองรับบัตร EMV นอกจากสายสีน้ำเงิน-สายสีม่วง ได้ด้วยเช่นกัน

รถไฟฟ้าต่างประเทศ ก็รองรับ EMV
บัตร EMV หรือบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ที่เราคุ้นเคย นอกจากจะสามารถใช้งานกับระบบรถไฟฟ้าในไทยได้แล้ว ในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร (กรุงลอนดอน) เนเธอร์แลนด์ มีการนำระบบ EMV Contactless มาใช้กับการเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้าด้วยเช่นกัน ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้สะดวก ไม่ต้องซื้อตั๋วหรือซื้อบัตรเติมเงินเพิ่มเติม
โดยในต่างประเทศ จะรองรับการใช้งานทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต VISA Mastercard (และเครือข่ายอื่น ๆ ตามที่แต่ละผู้ให้บริการกำหนด) รวมถึงรองรับการแตะจ่ายด้วยมือถือ ผ่านแอปพลิเคชั่น เช่น Apple Pay, Google Wallet เป็นต้น
30 ก.ย. 68 “นับ 1” 20 บาท ทุกสี ทุกสาย
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยความคืบหน้านโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยยืนยันว่านโยบายดังกล่าวจะครอบคลุมรถไฟฟ้าทั้ง 8 สายทาง และพร้อมเปิดให้บริการในอัตราเดียวทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑลตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
นายสุริยะกล่าวว่า สำหรับรถไฟฟ้าสายทางอื่น ๆ ที่จะเข้าร่วมนโยบายดังกล่าว ได้แก่ สายสีแดง สายสีม่วง สายสีเขียว สายสีทอง สายสีเหลือง สายสีชมพู สายสีน้ำเงิน และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ รวมเป็นทั้งสิ้น 8 สายทางตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้
ในระยะแรกของการดำเนินนโยบาย ผู้ที่จะได้รับสิทธิค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายจะจำกัดเฉพาะผู้ที่มีบัตรประชาชนไทย 13 หลัก และจะต้องลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยยืนยันว่าขั้นตอนการลงทะเบียนจะไม่ยุ่งยากและซับซ้อน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และเป็นการลงทะเบียนยืนยันตัวตน เพื่อให้ระบบสามารถจัดการค่าใช้จ่ายระหว่างผู้ให้บริการที่ต่างกันได้
สำหรับการชำระค่าโดยสารนั้น ในช่วงแรกผู้โดยสารจะยังคงสามารถใช้บัตรโดยสารเดิมของแต่ละระบบได้ โดยจะต้องนำบัตรเหล่านั้นมาลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” ก่อนจึงจะได้รับสิทธิค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายใด หรือมีการเปลี่ยนสายในระบบก็จะคิดค่าโดยสารเพียง 20 บาทเท่านั้น โดยระบบจะเคลียร์ค่าใช้จ่ายระหว่างผู้ให้บริการแต่ละรายเอง
สำหรับการใช้งานบัตรโดยสาร ที่สามารถรับสิทธิรถไฟฟ้า 20 บาท ทุกสี ทุกสาย มีดังนี้
- บัตรแรบบิท ใช้กับรถไฟฟ้า 4 สาย คือ สีเขียว สีทอง สีชมพู สีเหลือง
- บัตร MRT Plus ใช้กับรถไฟฟ้า 2 สาย คือ สีน้ำเงิน สีม่วง
- บัตร EMV Contactless Card (บัตรเครดิต/บัตรเดบิต) ใช้กับรถไฟฟ้า 6 สาย ได้แก่ สีแดง, สีน้ำเงิน, สีม่วง, สีชมพู, สีเหลือง
- บัตร ARL ใช้กับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL)
- เปิดลงทะเบียน : ประมาณสิงหาคม 2568
- เริ่มให้บริการ : 30 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การใช้งานในปีแรก ยังไม่สามารถใช้บัตรข้ามสายกันได้ ยังใช้บัตรเดิมของแต่ละสาย แต่ค่าโดยสารตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางที่มีการเดินทางข้ามสายจะสูงสุดไม่เกิน 20 บาท โดยผ่านแอป “ทางรัฐ” เพื่อใช้ระบบเคลียริ่งเฮาส์
ส่วนการพัฒนาในระยะที่ 2 นั้น ภายในปี 2569 กระทรวงคมนาคมมีแผนที่จะพัฒนาระบบการชำระค่าโดยสารให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยจะเปลี่ยนไปใช้ระบบสแกน QR Code ผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะช่วยให้ผู้โดยสารไม่ต้องพกบัตรโดยสารอีกต่อไป ทำให้การเดินทางสะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
สำหรับการชดเชยรายได้ให้กับเอกชนผู้ประกอบการรถไฟฟ้านั้น นายสุริยะคาดการณ์ว่าจะต้องใช้งบประมาณประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี โดยจะนำเงินรายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หรือจากกองทุนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 16,000 ล้านบาท มาใช้ในการชดเชยรายได้ดังกล่าว ภายใต้การขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. … ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการดำเนินการ และคาดว่าจะสามารถประกาศกฎหมายลำดับรองได้ภายในเดือนกันยายน 2568
ทั้งนี้ นายสุริยะเผยว่า สำหรับความคืบหน้าการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด หรือ Congestion Charge ซึ่งจะเป็น 1 ในแนวทางการชดเชยรายได้นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างจ้างที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาถึงเกณฑ์และเส้นทางในการเรียกเก็บ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นหน่วยงานหลักที่ดำเนินการเรียกเก็บโดยมีกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ให้ข้อมูล
จิ๊กซอว์สู่ “ตั๋วร่วม”
บัตร EMV นอกจากจะมีบทบาทในระบบรถไฟฟ้าทั้งประเทศไทยและต่างประเทศแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญของการผลักดันให้เกิด “ตั๋วร่วม” อย่างจริงจัง หลังจากก่อนหน้านี้ มีความพยายามผลักดัน “บัตรแมงมุม” ให้เกิดขึ้นแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
หากย้อนกลับไปช่วงที่ผ่านมา บัตร EMV Contactless เริ่มเข้ามามีบทบาทในระบบขนส่งสาธารณะของประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2562 โดยเริ่มใช้กับรถโดยสารสาธารณะ ขสมก. และเริ่มรองรับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ จนถึงการจ่ายค่าทางด่วน ทางพิเศษ จนนำมาสู่การพัฒนาตั๋วร่วมแบบระบบเปิด (Open Loop) ที่กำลังผลักดันและพัฒนาในปัจจุบัน
โดยเมื่อปลายเดือนมกราคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรลงมติ 367 เสียง รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ใช้ร่าง ครม.เป็นร่างหลัก โดยนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงหลักการและเหตุผล เพื่อเป็นการสนับสนุน การให้บริการขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟ รถไฟฟ้า รถเมล์ และเรือโดยสาร
โดยในสถานการณ์ปัจจุบัน การขนส่งสาธารณะและการบริการที่มีความหลากหลาย โดยให้ผู้บริการแต่ละรายมีต้นทุนในการจัดการและบริหาร รวมทั้งการจัดเก็บผู้โดยสารหรือค่าธรรมเนียมของตนเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ต้นทุนของการให้บริการขนส่งสาธารณะอยู่ในอัตราที่สูง และผู้ใช้บริการต้องรับผิดชอบต้นทุนดังกล่าว และยังทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ
ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ โดยใช้บัตรโดยสารใบเดียว เดินทางได้ทุกระบบของการบริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมจากขนส่งส่วนบุคคลมาเป็นขนส่งสาธารณะ ช่วยลดค่าใช้จ่าย ลดภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล
นางมนพรกล่าวต่อว่า ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีหลักการสำคัญ 5 ประการ คือ
1.การจัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเพื่อให้เป็นมาตรฐานกลาง โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. และใช้เป็นมาตรฐานกลางสำหรับตั๋วร่วมในอนาคต
2.เป็นการกำหนดอัตราโดยสารร่วม โดยอำนาจของ รมว.คมนาคมในการออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม และเป็นการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจะต้องนำอัตราค่าโดยสารร่วมไปใช้บังคับในการทำสัญญาสัมปทานขนส่งสาธารณะในอนาคต
3.จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม
4.ผู้ประกอบการที่จะมีสิทธิขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้
5.ในกรณีมีความจำเป็นให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และต้องได้ใบรับอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้ เพื่อรักษาการให้บริการระบบตั๋วร่วม หรือเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดในการส่งเสริมระบบตั๋วร่วมเพื่อป้องกันการเสียหายต่อสาธารณะ
”ภาพรวมทั้งหมดของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีทั้งหมด 7 หมวด 54 มาตรา เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนด้วยการใช้บัตรโดยสารใบเดียวเดินทางได้ทุกระบบของการบริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางจากขนส่งส่วนบุคคลมาเป็นการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล“ นางมนพรกล่าว
ขณะที่สภาองค์กรของผู้บริโภคมองว่า ยังมีรายละเอียดบางอย่างที่ต้องปรับปรุง เพื่อให้ครอบคลุมและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง เช่น
คณะกรรมการตั๋วร่วมไม่มีผู้แทนผู้บริโภค เดิมร่าง พ.ร.บ. ตั๋วร่วม พ.ศ. … ฉบับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) นั้น กำหนดให้มีสัดส่วนผู้แทนประชาชน คือประธานสภาผู้บริโภค เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายตั๋วร่วม ซึ่งร่างฉบับดังกล่าวมีกระบวนการรับฟังความเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเรียบร้อยแล้ว แต่ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ฉบับคณะรัฐมนตรี กลับไม่มีผู้แทนประชาชนอยู่ในคณะกรรมการด้วย ทั้งที่บริการขนส่งสาธารณะนั้นเป็นบริการที่ประชาชนทุกคนควรได้ใช้ เสียงสะท้อนของผู้บริโภคจึงเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบ ดังนั้นการมีผู้แทนผู้บริโภคเข้าไปเป็นคณะกรรมการจะช่วยสะท้อนเสียงและความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค เพื่อให้เกิดระบบที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้บริการอย่างแท้จริง
การเพิ่มผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะในฐานะผู้ใช้บริการจริงเข้าเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม เนื่องจาก พ.ร.บ.หลายฉบับที่ออกบังคับใช้ในปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและหน่วยงานภาคนอกที่เกี่ยวข้อง
กำหนดอัตราค่าโดยสารสูงสุดร่วมกับค่าโดยสารร่วม เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะทุกคนขึ้นได้ทุกวันของผู้บริโภค
การเก็บอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมระบบตั๋วร่วมที่ไม่เหมาะสม เพราะใน พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ฉบับคณะรัฐมนตรี มีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาต สำหรับ 3 กรณี คือ 1) ใบอนุญาตสำหรับศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง ฉบับละ 300,000 บาท 2) ใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบการที่ออกบัตรโดยสาร ฉบับละ 150,000 บาท 3) ใบอนุญาตสำหรับผู้ให้บริการขนส่งผู้โดยสาร ฉบับละ 150,000 บาท
แต่สภาผู้บริโภคมีความเห็นว่าค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 1) ต่ำเกินไป เพราะศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางเป็นผู้ให้บริการหลักที่ทำหน้าที่ในการประมวลผล รับส่งข้อมูล และคำนวณปริมาณการใช้งาน รวมทั้งจำนวนเงินจากการทำธุรกรรมในระบบตั๋วร่วม ซึ่งโดยหลักการไม่ควรมีผู้ให้บริการหลายราย ดังนั้นค่าธรรมเนียมจึงควรสอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ โดยสภาผู้บริโภคเสนอให้เพิ่มค่าธรรมเนียมเป็นฉบับละ 500,000 บาท
ส่วนค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 3) สูงเกินไป ซึ่งอาจทำให้ผู้ให้บริการการขนส่งสาธารณะภาคเอกชนและผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะรายย่อยไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะชำระค่าธรรมเนียม ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และอาจนำไปสู่การผูกขาดโดยผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย
สภาผู้บริโภคจึงเสนอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะทุกราย เพื่อเป็นแรงจูงใจและสนับสนุนให้ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะทุกรายเข้าให้บริการขนส่งในระบบตั๋วร่วมโดยอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการและผลักภาระให้กับผู้บริโภค
อย่างไรก็ดี บัตร EMV เป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของการผลักดันให้การใช้งานระบบขนส่งสาธารณะของไทย มีความสะดวกมากขึ้น ลดความซับซ้อนในการพกบัตรโดยสาร และเป็นหนึ่งในเครื่องมือเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่สังคมไร้เงินสดได้มากขึ้น
ข้อมูลจาก BEM, สภาองค์กรของผู้บริโภค