สธ. แจงกรณีผู้ป่วยฉีดวัคซีนโควิด-19 เสียชีวิต

นพ.ทวี

สาธารณสุข ชี้แจงผู้ป่วยเสียชีวิต พบอาการเส้นเลือดในท้องโป่งพอง ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 เผยเป็นโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ก่อนแล้ว

วันที่ 26 มีนาคม 2564 จากกรณีมีผู้ป่วยเสียชีวิต และพบว่า มีอาการเส้นเลือดในท้องโป่งพอง แตก หลังได้รับวัคซีนโควิด-19 เมื่อวานนี้ (25 มี.ค.)

ล่าสุด รศ.(พิเศษ) ทวี โชติพิทยสุนนท์ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ แถลงข่าวถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า จากการสอบสวนโรคในเบื้องต้นของคณะกรรมการฯ และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ได้สรุปว่า การเสียชีวิตไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด

ส่วนอาการเส้นเลือดในท้องโป่งพอง เป็นอาการที่ผู้เสียชีวิตเป็นอยู่แล้วระหว่างรับการรักษาก่อนหน้า ซึ่งจะเหมือนเป็นโรคที่รอระเบิดเวลาในตัวของผู้ที่เป็นอยู่แล้ว เนื่องจากเส้นเลือดได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน

รศ.(พิเศษ) ทวี ระบุว่า ย้อนกลับไปก่อนเสียชีวิต ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อเดือนมกราคม โดยพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 40 วัน หลังจากนั้นก็กลับบ้านเพื่อพักฟื้นต่อประมาณ 1 สัปดาห์ และไปรับการฉีดวัคซีนโควิด

หลังจากนั้นอาการก็ปกติมาตลอด มีการส่งต่อข้อมูลหลังฉีดมารายงานในแอปพลิเคชั่น “หมอพร้อม” โดยเมื่อเข้าสู่วันที่ 1-3 หลังฉีดวัคซีน อาการก็ยังปกติดี แต่เมื่อเข้าสู่วันที่ 7 ทางผู้ติดตามผลไม่สามารถติดต่อผู้ป่วยได้ ปรากฏว่าพอเข้าวันที่ 8-9 ก็มีอาการแน่นหน้าอก วิงเวียนศีรษะ เลยไปแอดมิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และหลังจากนั้นคนไข้ก็มีอาการทรุดลง พอเข้าสู่วันที่ 13 หลังฉีดวัคซีนก็เสียชีวิตลง

แพทย์สรุปผลว่า ผู้ป่วยรายนี้ น่าจะเสียชีวิตจากการที่มีหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง และก็มีอาการแตกหรือรั่ว ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว

วานนี้ (25 มี.ค.) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 กล่าวถึงกรณีพบผลข้างเคียงรุนแรงหลังมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปเบื้องต้น ว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวมีเส้นเลือดในท้องโป่งพอง แตก และเสียชีวิตหลังรับวัคซีน

แต่คาดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวัคซีน เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้ป่วยโรคเส้นเลือดโป่งพองในท้อง อยู่ระหว่างรับการรักษาอยู่แล้ว ซึ่งโรคนี้มีโอกาสที่เส้นเลือดจะแตกได้ตลอดเวลา ซึ่งก็เกิดขึ้นหลังรับวัคซีน ดังนั้น ตามหลักแล้ว เมื่อมีอะไรที่เกิดขึ้นระหว่างการรับวัคซีนก็ต้องนำเข้าคณะกรรมการเพื่อสอบสวนต่อไป