ส่องกลยุทธ์ “เสี่ยวมี่” รุกหนักออนไลน์-ปูพรมสาขาในไทย

หลังจากเปิดตัวแบรนด์ “เสี่ยวมี่” (Xiaomi) เมื่อปี 2553 และเป็นที่รู้จักในวงจำกัด เฉพาะผู้ที่สนใจความก้าวล้ำของนวัตกรรม แต่ปัจจุบันเสี่ยวมี่ปักธงลุยตลาดในไทยอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ล่าสุด “จอห์น เฉิน” ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เผยทิศทางและกลยุทธ์ตลาดในปีนี้ โดยย้ำว่า ประเทศไทยคืออีกตลาดสำคัญ เนื่องจากมีอัตราการเติบโตสูง มียอดจำนวนสมาร์ทโฟน 14-20 ล้านเครื่องต่อปี เป็นอันดับต้น ๆ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ในภูมิภาค ทั้งยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งนอกจากการประกาศตั้งสำนักงานในไทยภายใน 6 เดือนนี้ยังประกาศกลยุทธ์สำคัญ คือ 1.สร้าง “กลุ่มแฟนเสี่ยวมี่” (Mi Fan) เพื่อเป็นฐานลูกค้าสำคัญ โดยมีช่องทางให้แฟน ๆ ติดต่อกับทีมงานโดยตรง เพื่อนำความเห็นมาพัฒนาสินค้า 2.ขยาย Mi Store จาก 4 เป็น 25 สาขาในสิ้นปี

พร้อมร่วมกับร้านค้าย่อยอีก 75 แห่ง และจับมือกับเจมาร์ท-ทีจีโฟน ให้ครอบคลุม 100 สาขา และ 3.โฟกัสช่องทางออนไลน์ จับมือกับ ลาซาด้า, ช้อปปี้ และอีเลฟเว่นสตรีท มีโปรโมชั่น

พิเศษเฉพาะกลุ่มนี้ อาทิ โมเดลพิเศษหรือสิทธิ์จองรุ่นใหม่ก่อนใคร เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยลดต้นทุน ขณะที่ช่องทางออฟไลน์จะเน้นสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้บริโภค

“2 ปีที่แล้ว ค่ายมือถือในไทยแจกเครื่องกระตุ้นให้คนเปลี่ยนจาก 2G มาเป็น 3G จังหวะนี้จึงเป็นเวลาที่กลุ่มตลาดล่างกำลังถึงเวลาจะเปลี่ยนเครื่องใหม่ เป็นโอกาสที่ดี ขณะที่สเป็กเครื่องของเสี่ยวมี่ เมื่อเทียบแล้วราคาจะถูกกว่า 30-50% ซึ่งไตรมาส 1 นี้จะนำสมาร์ทโฟนที่เพิ่งเปิดตัวในจีน เมื่อปลายปีอย่าง Xiaomi Redmi 5A Redmi 5 และ Redmi 5 Plus มาทำตลาดในช่วงราคา 3-7 พันบาทเพิ่ม ทั้งอาจมีโมเดลพิเศษที่จับมือกับค่ายมือถือเป็นการเฉพาะด้วย”

ขณะที่สินค้าในหมวดอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า smart home กำลังพัฒนาให้รองรับภาษาไทย เพื่อนำเข้ามาจำหน่ายในไทยเพิ่ม ยกเว้น Mi NoteBook ที่ติดสัญญากับไมโครซอฟท์ ที่ระบุให้ต้องจำหน่ายในจีนเท่านั้น

“ตลาดไทยแข่งรุนแรงมาก แต่เสี่ยวมี่กำลังแข่งกับตัวเอง เพราะแตกต่างจากแบรนด์อื่น มีอีโคซิสเต็มที่แบรนด์อื่นไม่มี ทั้งยังแตกต่างด้านนวัตกรรมและราคา สิ่งสำคัญคือต้องเดินกลยุทธ์ให้เร็วที่สุด และทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าของดี ราคาไม่จำเป็นต้องแพง”