ควบรวมทรู ดีแทค: ปกป้อง จันวิทย์ ตั้งข้อสังเกตการลงมติ #กสทช

ปกป้อง จันวิทย์ มติ กสทข

ปกป้อง จันวิทย์ ตั้งข้อสังเกต มติรับทราบการควบรวม ทรู ดีแทค ของ กสทช. ชี้เรื่องที่สังคมไทยต้องการ กสทช. ที่สุด กลับไม่ทำหน้าที่รับผิดชอบที่ตัวเองพึงต้องทำที่สุด

วันที่ 21 ตุลาคม 2565 จากกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติรับทราบการควบรวมกิจการระหว่าง ทรู และ ดีแทค เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และการตั้งคำถามจากนักวิชาการเป็นจำนวนมาก

ล่าสุด นายปกป้อง จันวิทย์ บรรณาธิการอำนวยการ The101.world และบรรณาธิการอำนวยการสำนักพิมพ์ bookscape ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า อำนาจหน้าที่ของ กสทช. เขียนไว้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.กสทช. ตลอดจนประกาศของ กสทช. ที่ให้อำนาจกำกับดูแล โดยมีมาตรการป้องกันไม่ให้แสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม ตลอดจนป้องกันไม่ให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน

ข้อกฎหมายระบุชัด กสทช. มีสิทธิห้ามควบรวมได้

นายปกป้องระบุว่า กฎหมายที่ให้อำนาจหน้าที่อย่างเป็นรูปธรรม คือประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 ที่ระบุไว้ค่อนข้างชัดเจน 2 ข้อคือ

ข้อ 5 กำหนดให้การรวมธุรกิจของผู้รับใบอนุญาต หรือผู้มีอำนาจควบคุมที่ก่อให้เกิดนิติบุคคลใหม่เช่นนี้ จะต้องรายงานต่อ กสทช.

ข้อ 9 การรายงานนั้นให้ถือเป็นการ ‘ขออนุญาต’ ตามประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549

เราเลยต้องตามต่อไปดูข้อ 8 ของประกาศฉบับ พ.ศ. 2549 ที่เขียนไว้ชัดเจนว่า การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน ไม่ว่าจะในทางตรง ทางอ้อม หรือผ่านตัวแทน จะทำไม่ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการเสียก่อน ในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าการถือครองธุรกิจนี้อาจส่งผลให้เกิดการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขันในการให้บริการโทรคมนาคม คณะกรรมการสามารถสั่งห้ามการถือครองกิจการได้

นอกจากนี้ ประกาศฉบับ พ.ศ. 2549 และประกาศฉบับ พ.ศ. 2561 ให้อำนาจ กสทช.ในการกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะสำหรับการควบรวม โดยที่ประกาศ พ.ศ. 2561 ให้เกณฑ์ไว้ว่าสามารถทำได้เมื่อ

1) ดัชนีการกระจุกตัวหลังการควบรวมสูงกว่า 2,500 จุด
2) มีการเพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่า 100 จุด
3) รายใหม่มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
4) มีการครอบครองโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น กสทช.สามารถให้อนุญาตอย่างมีเงื่อนไข หรือไม่อนุญาตตามการพิจารณาผลกระทบต่อการแข่งขัน ไม่ได้เป็นแค่ผู้รับแจ้งรายงาน แต่มีอำนาจในการสั่งห้ามการควบรวมแน่นอน

รับทราบ Vs. ไม่อนุญาต

นอกจากนี้ นายปกป้องตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมในเรื่องการลงมติ ที่คณะกรรมการ กสทช.สองคนคือ ประธาน กสทช. และ กสทช. ต่อพงศ์ฯ ยืนยันว่า กสทช.ไม่มีอำนาจ ทำได้แค่รับทราบรายงาน ว่ามีช่องโหว่ตรงไหน โดยระบุว่า “ข้อ 8 ของประกาศฉบับ พ.ศ. 2549 ที่เนื้อความเขียนว่า

“การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน ไม่ว่าจะในทางตรง ทางอ้อม หรือผ่านตัวแทน จะทำไม่ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการเสียก่อนในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าการถือครองธุรกิจนี้อาจส่งผลให้เกิดการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขันในการให้บริการโทรคมนาคม คณะกรรมการสามารถสั่งห้ามการถือครองกิจการได้”

ในเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน กสทช. ที่ 51/2565 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ที่ส่งให้สื่อมวลชนหลังประชุม เขียนว่า “ที่ประชุมเสียงข้างมาก (ประธาน กสทช. และ กสทช. ต่อพงศ์ฯ) มีมติเห็นว่าการรวมธุรกิจในกรณีนี้ไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันตามข้อ 8 ของประกาศฉบับปี 2549 … และให้พิจารณาดำเนินการตามประกาศฉบับปี 2561 โดยรับทราบการรวมธุรกิจ”

นั่นคือ ถ้าเป็นการเข้าถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน กสทช.มีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ควบรวมได้ แต่นี่ไม่ใช่การถือครองธุรกิจประเภทเดียวกัน ดังนั้น กสทช.จึงทำได้แค่รับทราบเฉย ๆ

คำถามคือ ทรูกับดีแทคไม่ใช่ธุรกิจประเภทเดียวกันตรงไหน? ผมรออ่านความเห็นอย่างเป็นทางการของสอง กสทช. อย่างสรณและต่อพงศ์เลยครับ ว่าท่านจะให้เหตุผลอย่างไร ว่าการควบรวมระหว่างทรูกับดีแทคไม่ใช่การถือครองธุรกิจประเภทเดียวกัน

ถ้าเราตั้งใจอ่านเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ที่สรุปมติ กสทช. เขาใช้ถ้อยคำแบบนี้ “จากนั้นที่ประชุม กสทช.จึงได้มีมติเสียงข้างมากรับทราบการควบรวมธุรกิจ … ส่วนเสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็น ไม่อนุญาตการรวมธุรกิจ”

สังเกตจุดยืนที่แตกต่างกันของ กสทช. สองฝั่งนะครับ ฝั่งเสียงข้างมาก (สรณ ต่อพงศ์) ใช้คำว่า “รับทราบ” การควบรวมธุรกิจ แต่ฝั่งเสียงข้างน้อย (ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต และ ร.ศ.ดร.ศุภัช ศุภัชลาศัย) ใช้คำว่า “ไม่อนุญาต” การรวมธุรกิจ เพราะตีความเรื่องอำนาจ กสทช. ต่างกันอย่างสิ้นเชิง”

เรื่องที่คนไทยต้องการให้ทำหน้าที่มากที่สุด แต่กลับไม่ทำหน้าที่ของตนเอง

นายปกป้องระบุเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการเห็นชอบให้ควบรวมด้วยซ้ำไป กสทช.สองคน คนหนึ่งเป็นประธานเสียด้วย กำลังสร้างหลักใหม่ว่า กสทช.ไม่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่เป็นเหตุผลในการดำรงอยู่ของ กสทช.ด้วยซ้ำ

กสทช.กำลังตัดเขี้ยวเล็บตามกฎหมายของตัวเองในการปกป้องประโยชน์สาธารณะ ทำไปทำไม แล้วใครได้ประโยชน์ ประชาชน หรือกลุ่มทุนใหญ่?

คำถามคือ ถ้าอย่างนั้นจะมี กสทช.ไว้ทำไม ถ้าไม่สามารถจัดการอะไรกับกรณีการควบรวมบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาด จนผู้เล่นลดลงจาก 3 รายเหลือแค่ 2 รายได้


เรื่องที่สังคมไทยต้องการ กสทช.ที่สุด กสทช.กลับไม่ทำหน้าที่รับผิดชอบที่ตัวเองพึงต้องทำที่สุด ทั้งหมดนี้นำทีมโดยประธาน กสทช.เอง