เจมาร์ทซินเนอร์ยี่ยกเครือลดต้นทุน ผนึกเกาหลีดันเจฟินเทคบุกสินเชื่อ

“เจมาร์ท” พลิกวิกฤตโควิดเป็นโอกาสรีสกิลพนักงาน ย้ำกลยุทธ์ซินเนอร์ยี่ธุรกิจลดต้นทุน ผนึกยักษ์สินเชื่อเกาหลี KB KooKmin ผุดช็อปโมเดลใหม่ JMART SYNERGY ทำตลาดสินค้าในเครือทั้งมือถือ-สินเชื่อ-ประกันภัย-ร้านกาแฟ นำร่อง 120 สาขา เพิ่มสปีดปั๊มกำไรทั้งกลุ่ม ดัน market cap ทะลุ 1 แสนล้าน ปี”64

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจ แต่สำหรับบริษัทเป็นโอกาสในการเดินหน้ากลยุทธ์การสร้างความร่วมมือ หรือซินเนอร์ยี่ธุรกิจในเครือที่ทำมาอย่างต่อเนื่องให้เข้มข้นขึ้นอีก เนื่องจากธุรกิจในเครือมีความหลากหลาย แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์จากหลายด้านร่วมกันได้ ทำให้สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสการเติบโตให้แต่ละธุรกิจได้ ทำให้เชื่อมั่นว่ากำไรในปีนี้ของทั้งกลุ่มจะยังเติบโต และปี 2564 ตั้งเป้าหมายว่า กลุ่มบริษัทในเครือจะมีกำไรที่ดีต่อเนื่อง โดยเจเอ็มทีคาดว่าจะมีกำไรที่ 1,400-1,500 ล้านบาท ซิงเกอร์มีกำไร 600 ล้านบาท รวมถึงตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปีจากนี้ เจฟินเทคจะมีกำไรที่ 2,500 ล้านบาท

ขณะเดียวกันยังวางเป้าหมายว่าภายในปี 2564 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap) จะเพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่กลุ่มธุรกิจในเครือเจมาร์ทกรุ๊ป โดยรวมมี market cap ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท

“กลุ่มเจมาร์ทกว่าจะมีวันนี้ เราเริ่มต้นจากขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและมือถือ ต่อมาทำธุรกิจติดตามหนี้ ซึ่งปัจจุบันคือ เจเอ็มที อีกหนึ่งธุรกิจเรือธงของเรา เช่นเดียวกับซิงเกอร์ที่เป็นหัวหอกบุกตลาดต่างจังหวัด และเร็ว ๆ นี้อีกบริษัทในเครือคือ เจฟินเทค ก็จะรุกตลาดสินเชื่อเต็มตัว”

อย่างไรก็ตาม ในช่วงโควิดทำให้บริษัทได้ทบทวนหลายสิ่ง ทั้งเรื่องการลงทุน และแผนการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือการทำอย่างไรที่จะลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพได้พร้อมกัน

“เราเรียกประชุมทีมงานระดับผู้จัดการทั่วประเทศ พูดคุยถึงทิศทางที่เราจะไปในอนาคต ให้นโยบายไปว่า พนักงานเราจะต้องทำได้หลายอย่าง เช่น พนักงานขาย 1 คน ต้องขายได้ทั้งมือถือ สินเชื่อ ประกันภัย มีการฝึกอบรมเพิ่มทักษะให้ทำได้หลายอย่าง”

สำหรับผลดำเนินงานครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 63) มีรายได้รวม 4,990 ล้านบาท ลดลง 7.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ต้องปิดบริการ “เจมาร์ท โมบาย” ลง แต่บริษัทยังมีกำไร 1,782 ล้านบาท เพิ่มขึ้น15% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ผนึกทุนเกาหลีบุกตลาดสินเชื่อ

สำหรับบริษัท เจฟินเทค จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคล “J-money” ถือเป็นธุรกิจที่มีโอกาสการเติบโตที่ดีในอนาคต ล่าสุดได้เซ็นสัญญากับพาร์ตเนอร์รายใหญ่เกาหลี “KB KooKmin Card Co. Ltd.” ที่มีส่วนแบ่งตลาดบัตรเครดิตอันดับ 2 จากเกาหลี และอยู่ในเครือ KB Financial Group ที่ให้บริการทางการเงินรายใหญ่ เข้าร่วมทุนในเจฟินเทค โดยมีเป้าหมายที่รุกตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้เดือนพฤศจิกายนนี้

“ดีลนี้ใช้เวลาเจรจานาน 2 ปี โดยพาร์ตเนอร์เกาหลีมองว่า ตลาดไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพราะพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของกลุ่มคนรุ่นใหม่ใกล้เคียงกับเกาหลี ซึ่งพาร์ตเนอร์เกาหลีจะนำระบบเทคโนโลยี และโนว์ฮาวเข้ามาร่วมกับบริษัทในเครือที่มีทั้งร้านค้าปลีกมือถือ “เจมาร์ท โมบาย”, เจฟินเทค สินเชื่อส่วนบุคคล, ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ “ซิงเกอร์” เจเอ็มที เพื่อขยายตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น เพื่อพลิกตลาดสู่สินเชื่อส่วนบุคคลแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ”

ผุด “JMART SYNERGY”

นายอดิศักดิ์กล่าวว่า บริษัทได้เดินหน้าซินเนอร์ยี่ธุรกิจในเครือต่อเนื่อง จนปีนี้ถือเป็นปีที่ 5 ซึ่งภาพการปรับตัววันนี้ชัดเจนขึ้น ถือว่าได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน เพราะสามารถลดต้นทุนได้ พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพดำเนินธุรกิจ และเพิ่มผลกำไรให้แก่บริษัท

ด้านนายปิยะ พงษ์อัชฌา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลจากการซินเนอร์ยี่ธุรกิจเป็นรูปธรรมมากขึ้น ล่าสุดเตรียมเปิดตัวช็อปโมเดลใหม่ ซึ่งเป็นการพลิกโฉมเครือข่ายที่มีหน้าร้านทั้งเจมาร์ท โมบาย, ซิงเกอร์, เจเอ็มที ภายใต้ชื่อ “JMART SYNERGY” โดยรวมบริการในเครือไว้ในที่เดียว ทั้งการจำหน่ายมือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า บริการสินเชื่อ ประกันภัย และร้านกาแฟ คาซา ลาแปง โดยสาขาแรกเปิดเมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่นครปฐม ตามด้วยนครราชสีมา

“ร้านโมเดลใหม่เน้นการปรับโฉมร้านเครือข่ายเดิมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น เจมาร์ทช็อป 190 สาขา ซิงเกอร์ 170 สาขา เจเอ็มที 25 สาขา และจะเปิดเพิ่มไม่มาก เน้นทำเลที่ยังไม่มี คาดว่าไม่เกิน 10 สาขา/ปี ส่วนร้านที่ปรับโฉมคาดว่าในไตรมาสสุดท้ายนี้จะเปิดอีกกว่า 50 สาขา และสิ้นปีนี้ตั้งเป้าจะเปิดให้ครบ 70 สาขา ขณะที่ในปี 2564 จะเปิดให้ครบ 120 สาขาทั่วประเทศ”

สำหรับรูปแบบ “JMART SYNERGY” จะเน้นการตกแต่งร้านด้วยโทนสีขาว เพื่อสร้างการรับรู้และความแตกต่างระหว่างเจมาร์ท กับ “JMART SYNERGY” มีหลายขนาด ทั้งไซซ์ S, M, L ให้สอดรับกับแต่ละพื้นที่

“การขายมือถือจะเป็นตัวนำดึงลูกค้าเข้าร้าน เพราะเป็นสินค้าจำเป็น เราเสริมจุดขายด้วยร้านกาแฟ คาซา ลาแปง ที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ทำให้เจมาร์ทกรุ๊ปเข้าถึงและตอบทุกความต้องการผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ไลฟ์สไตล์การดื่ม การซื้อประกันภัย การเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า การซื้อมือถือ นั่นหมายถึงรายได้จะเพิ่มขึ้นจากบริการใหม่ ๆ ขณะที่ต้นทุนไม่ได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากรวมอยู่บนพื้นที่เดียวกัน”