F5 บุกเฮลท์แคร์-แมนูแฟกตอริ่ง

“เอฟไฟว์” ชี้องค์กรในไทยทั้งภาครัฐและเอกชนแห่พัฒนาแอปพลิเคชั่นขึ้น “คลาวด์” ตอบโจทย์ธุรกิจยุคดิจิทัล แนะเพิ่มเรื่อง “ซีเคียวริตี้” พร้อมเดินหน้าหาพันธมิตรเพิ่มดีกรีขยายตลาด และเจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ เล็ง “เฮลท์แคร์-โรงงานอุตสาหกรรม”

นายวัชระ จิระเจริญสุวรรณ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอฟไฟว์ เน็ตเวิร์กส์ ประเทศไทย ผู้ให้บริการโซลูชั่นคลาวด์ กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนด้านดิจิทัลของไทยในปี 2560 มีมูลค่า 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าปีนี้จะเพิ่มเป็น 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งการนำมาใช้ซับซ้อนมากขึ้น มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นรองรับสมาร์ทโฟน และ IOT ที่มีราว 50 ล้านชิ้นในปีที่แล้ว และเพิ่มเป็น 80 ล้านชิ้นในปี 2561 ทำให้แต่ละองค์กรเริ่มวางแอปพลิเคชั่นไว้บนระบบคลาวด์ โดย 80% เป็นแอปพลิเคชั่นบนคลาวด์ และในจำนวนนี้ 95% ให้บริการเป็นไมโครเซอร์วิส เช่น ผูกบริการอื่นไว้ในแอปพลิเคชั่น ที่เปิด API (Application Programming Interface) ให้เชื่อมต่อ

“ภาพรวมตลาดคลาวด์มีรายได้ถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2564 จะเพิ่มเป็น 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ องค์กรจึงเริ่มคำนึงถึงระบบซีเคียวริตี้ที่ตอบโจทย์การใช้คลาวด์มากขึ้น”

สำหรับเอฟไฟว์จะเข้ามามีบทบาทในตลาดมากขึ้น โดยมีบริการแอปพลิเคชั่นดีลิเวอรี่ที่ช่วยให้การทำงานของแอปพลิเคชั่นรวดเร็วขึ้น ซึ่งบริการนี้จะมีสัดส่วนรายได้ 70% ส่วนด้านซีเคียวริตี้มีสัดส่วน 30%

“แฮกเกอร์สามารถส่งมัลแวร์ผ่านการเข้ารหัสเพื่อเลี่ยงการตรวจจับของระบบรักษาความปลอดภัยได้ และคาดว่าในปีนี้การโจมตี API จะเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเพราะแฮกได้ง่าย”

ขณะที่ผลสำรวจในตลาดเอเชีย พบว่า เฉลี่ยผู้ใช้สมาร์ทโฟนจะใช้ 6 แอปพลิเคชั่นต่อวัน และจะเลิกใช้เมื่อทำงานช้า การจัดการกับความปลอดภัยและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้บริการจึงสำคัญ

“ตลาดหลักของเอฟไฟว์ในไทย มีทั้งค่ายมือถือ, แบงก์ และหน่วยงานภาครัฐ แต่กลุ่มที่จะเป็นโอกาสในอนาคต คือ กลุ่มเฮลท์แคร์ที่เริ่มทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัล และแมนูแฟกตอริ่งที่นำโรบอตไปใช้ ขณะที่หน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งจะเริ่มลงทุนเพิ่มขึ้น”

ส่วนกลยุทธ์การตลาดจะเน้นหาพาร์ตเนอร์ใหม่เพิ่มจากเดิมที่มี 50 ราย เพื่อขยายช่องทางไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่


“สิ่งที่เกิดขึ้นกับโมบายแอปพลิเคชั่น คือ แฮกเกอร์จะขโมยรหัสผ่านเพื่อไปทำธุรกรรมเอง หรือแฮกช่องทางการสั่งหุ่นยนต์ เพราะมีมัลแวร์ตัวใหม่ที่ติดในกล้องวงจรปิดได้แล้ว และจะมีการใช้โมบายเพย์เมนต์เพิ่มขึ้นอีกมากด้วย ดังนั้นจึงเห็นการโจมตีใหม่ ๆ เกิดขึ้นแน่”