
เชียงราย หนึ่งในจังหวัดเมืองหน้าด่านที่มีพรมแดนติดกับประเทศเมียนมา และ สปป.ลาว โดยปี 2565 มียอดการค้าจาก 3 ด่านหลัก ได้แก่ เชียงของ ด่านเชียงแสน และด่านแม่สาย เฉียด 1 แสนล้านบาท แต่ที่ผ่านมาอำเภอต่าง ๆ กลับได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการค้า การขนส่งที่ขยายตัว
โดยเฉพาะอำเภอเชียงของ ที่ผ่านมาเป็นเพียง “เมืองทางผ่าน” เพราะไม่สามารถสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าได้
- เช็กที่นี่ เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท เดือนธันวาคม 2566 เงินเข้าวันไหน
- ในหลวง พระราชินี เสด็จฯส่วนพระองค์ ทรงร่วมแข่งเรือใบ จ.ภูเก็ต
- กรุงไทย-ออมสิน ระเบิดโปรฯ เงินฝาก “ดอกเบี้ยพิเศษ” เช็กเงื่อนไขที่นี่
จี้ไทยพัฒนาให้ทันจีน-ลาว
หลังจากรัฐบาลประกาศให้อำเภอเชียงของ เป็นหนึ่งใน “เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน” รวมถึงการก่อสร้าง “ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งเขียงของ” ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เนื้อที่กว่า 335 ไร่ วงเงิน 2,864 ล้านบาท
เพื่อรองรับการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างจีนตะวันตกกับภูมิภาคต่าง ๆ คาดการณ์ว่าภายในปี 2584 จะมีปริมาณสินค้าเข้า-ออกภายในโครงการแห่งนี้ไม่น้อยกว่า 7,374,700 ตันต่อวัน สามารถลดต้นทุนการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ เพิ่มการสร้างงานและกระจายรายได้ ยกระดับคุณภาพการขนส่งเชิงบูรณาการให้มีประสิทธิภาพ
ล่าสุดในพื้นที่ได้ประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อผลักดันโครงการดังกล่าว อ.ดร.ดนัยธัญ พงษ์พัชราธรเทพ หัวหน้าโครงการวิจัยการสร้างห่วงโซ่คุณค่าข้ามแดน “เขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ” กลุ่มธุรกิจ new S-curve หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า
จากการระดมความคิดเห็นในพื้นที่อำเภอเชียงของ ภายใต้การประชุมการผลักดันศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบขนส่งเชียงของสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์อนุภูมิภาครองรับการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน (CBEC) เชื่อมโยงกับแนวระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) สู่การเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษข้ามพรมแดนไทย-ลาว-จีน มีข้อสรุปที่สำคัญได้แก่
1.ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เห็นพ้องที่จะส่งเสริมเชียงของให้เกิดกิจกรรมในการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษข้ามพรมแดนไทย-ลาว-จีน โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร สินค้าผลไม้ อาหารสดแช่แข็ง เป็นต้น
โดยใช้กลไกของศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบขนส่งเชียงของเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์อนุภูมิภาคที่ลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ให้เกิดกลไกการรองรับการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน (CBEC) สอดคล้องกับแนวระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ในการมีศักยภาพในการเชื่อมต่อตลาดจีนที่อยู่ห่างเพียง 200 กิโลเมตร
โดยที่ผ่านมา สปป.ลาว เร่งลงทุนโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการเขตเศรษฐกิจบ่อเต็น, โครงการทางด่วนมอเตอร์เวย์บ่อหาน-เชียงของ, โครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ที่บ่อเต็น ขณะที่ฝั่งไทยเร่งรัดโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
2.การยกระดับศูนย์เปลี่ยนถ่าย สู่การเป็น “เขตปลอดภาษีครบวงจร (free zone) ข้ามพรมแดน” ที่จะต้องผลักดันการแก้ไขกฎระเบียบ เพื่อจะเอื้อต่อการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน ประกอบด้วย
1) กิจกรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การ repack 2) คลังสินค้าทัณฑ์บน 3) ระบบศุลกากรสำหรับพัสดุภัณฑ์เร่งด่วน รวมถึงการส่งสินค้าแบบรวมตู้ด้วย 4) ระบบการคืนสินค้า/ซ่อมสินค้า/คืนเงิน 5) สถาบันการเงินที่รองรับการชำระเงินข้ามแดน 6) สร้างระบบตัวแทนผู้ให้บริการแพลตฟอร์มและโลจิสติกส์ด่วน 7) ศูนย์แสดงสินค้าและจำหน่ายสินค้ารองรับระบบ O2O (online to offline) รวมถึงเป็นศูนย์บริการครบวงจรให้กับประชาชนในพื้นที่ให้เกิดเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วย
3.การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นพื้นที่และเมืองห้วยทราย เพื่อให้เกิดการได้ประโยชน์จากการลงทุน การค้าที่เกิดขึ้น เกิดธุรกิจใหม่ในพื้นที่ รวมถึงกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวที่จะเกิดรายได้หมุนเวียนในพื้นที่ด้วย
4.การผลักดันเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานบนถนน R3A เชื่อมต่อจีน-ลาว-ไทย ผ่านรัฐบาล รวมถึง “โครงการล้านช้างแม่โขง” ภายใต้นโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน เพื่อให้เกิดความสะดวกทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกันในอนาคต โดยเฉพาะการต่อท่อผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และการเร่งรัดการก่อสร้างทางด่วน เป็นต้น
อ.ดร.ดนัยธัญกล่าวต่อว่า ปัจจุบันเขตห้วยทราย หลวงน้ำทา นาเตย และบ่อเต็นมีความคึกคักในการลงทุนสูงมาก และถือว่าเขตบ่อหานของจีนเป็นอำเภอหนึ่งของคุนหมิงแล้ว ดังนั้น การอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จะสะดวกและเปิดโอกาสให้สินค้าไทย
โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็น สปป.ลาว ที่จีนรับสัมปทาน ได้เร่งให้มีความพร้อมทั้งสวนอุตสาหกรรม ไม่รวมถึงการลงทุนของกลุ่มไห่เฉิงกรุ๊ปในฝั่งห้วยทรายที่ลงทุนเป็นศูนย์ธุรกิจกว่า 4,000 ล้านบาท การลงทุนของกลุ่มอมตะซิตี้ของไทย และการเตรียมสร้างมอเตอร์เวย์จากชายแดนลาวมาถึงเชียงของในระยะเวลาที่สั้นลงเหลือเพียง 3 ชั่วโมงที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปี
ดึงท้องถิ่นมีส่วนร่วม
นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ที่มีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ เพราะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระหว่าง จีน-อาเชียน ผ่านเส้นทาง R3A แต่ที่ผ่านมาการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียค่อนข้างน้อย การสร้างกระบวนการพัฒนาในพื้นที่มีความจำเป็นที่จะสร้างให้ประชาชน ชุมชนในพื้นที่มีการตื่นตัวมีส่วนร่วม เพราะในอนาคตจะมีทั้งศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ในพื้นที่ใกล้อำเภอเชียงของ โครงการสนามบินใหม่ และระบบรางที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ดังนั้น จังหวัดเชียงรายจึงให้ความสำคัญการสร้างกิจกรรมมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่อำเภอเชียงของ และผลกระทบต่อสังคมในพื้นที่อย่างมาก
นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า พื้นที่เชียงของต้องปรับเป็น ศูนย์ของการค้าข้ามพรมแดนหรือ CBEC เพื่อส่งออกสินค้าไปยังจีนเพิ่มขึ้น และควรมีการคัดสรรสินค้าที่มีศักยภาพในพื้นที่ให้เกิดขึ้นทั้งสินค้าเกษตร สินค้าเชิงสร้างสรรค์ที่ต้องมีมูลค่าเพิ่ม แล้วต่อเชื่อมกับระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดพะเยา และอยากให้เกิดกระบวนการรวมสินค้าเป็นตู้เพื่อส่งต่อให้ไปเขตเศรษฐกิจบ่อเต็น บ่อหาน หรือกระจายลงไปสู่อาเซียนในอนาคต รวมถึงเสนอให้เชื่อมโยงกับคลังสินค้าที่เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อหานของจีน
โดยทางหอการค้าจะได้นำเสนอคือการสนับสนุนให้มีการซ่อมถนน R3A เพื่อให้เกิดความสะดวกทางโลจิสติกส์ ระยะทาง 40-50 กิโลเมตรจากหลวงน้ำทา-นาเตย เนื่องจากการค้ารอไม่ได้และจะลดอุปสรรคและเวลาในการขนส่งสินค้าด้วย
ด้าน นายนิวัติ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า เห็นด้วยกับโครงการที่จะเกิดขึ้นในทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่กระบวนการยังเป็นปัญหาและอุปสรรค สำคัญที่สุดคือกระบวนการความร่วมมือ สร้างช่องทางให้คนท้องถิ่นหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วม เช่น การสร้างศักยภาพของโครงสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงยังไม่เต็มที่ทั้งด้านสินค้าและการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไข การย้ายด่านถาวรไปที่สะพานแห่งใหม่ ทำให้พื้นที่เมืองเชียงของ โดยเฉพาะท่าเรือบั๊กที่เป็นส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นซบเซาลง อยากให้การค้าข้ามแดนมองเป็นสินค้า SMEs ของชุมชนด้วย รวมถึงเร่งการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น สร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ซึ่งจะสามารถสร้างศูนย์ธุรกิจใหม่ของเมือง เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วย