ส่งออกทุเรียนโดนตีกลับ 100 ตู้ ราคาดิ่งต่ำร้อยหลังพบสาร BY2

ทุเรียน

ส่งออกทุเรียนระส่ำหนัก หลังถูกจีนตีกลับแล้ว 100 กว่าตู้ เหตุไม่มีผลตรวจสารย้อมสีก่อมะเร็ง “Basic Yellow 2” จนต้องขนกลับมาเทขายที่ “ตลาดไท” ส่งผลราคาทุเรียนดิ่งจากซื้อเหมาสวนราคา 230-240 บาท/กก. ตอนนี้เหลือ 110-120 บาท/กก. จนล้งต้องหยุดรับซื้อ

หลังจากที่สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) แจ้งพบปัญหาการใช้สารย้อมสี “Basic Yellow 2 : BY2” ในทุเรียนส่งออกของไทย โดยสารดังกล่าว WHO ระบุเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2B ปรากฏจีนได้กำหนดให้ทุเรียนส่งออกทุกลอตของไทยไปจีนจะต้องแนบผลวิเคราะห์ Test Report สาร Basic Yellow 2 และแคดเมียม โดยจีนจะสุ่มตรวจซ้ำที่ด่านนำเข้าทั้งทางบก ทางอากาศ ทางเรือ หากพบสารตกค้างดังกล่าวก็จะระงับการนำเข้าทันทีและให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

แหล่งข่าวจากโรงคัดบรรจุที่ส่งออก (ล้ง) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ในวงการส่งออกทุเรียนทั้งระบบ “ปั่นป่วนมาก” เนื่องจากทุเรียนไทยประมาณ 100 กว่าตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งผ่านด่านทางอากาศ ทางเรือ และทางบก ไปจีนก่อนวันที่ 10 มกราคม 2568 เพื่อที่จะขายในช่วงเทศกาลตรุษจีน (26-28 ม.ค. 2568) “ถูกตีกลับ” หลังจากทางการจีนพบว่า ทุเรียนเหล่านี้ไม่มีใบรายงานผลการทดสอบ (Test Report) “สารย้อมสี Basic Yellow 2” มาแสดง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรจีนไม่ยอมให้ผ่านด่าน

ทุเรียน

และหากจะรอให้ทางการจีนนำทุเรียนไปตรวจหาสารย้อมสี BY2 ก็จะต้องใช้เวลารอผลประมาณ 7-9 วัน ทั้งยังไม่มีความแน่นอนว่า จะมีแล็บตรวจที่สามารถตรวจสาร BY2 ได้ทันหรือไม่ ขณะที่ช่วงเทศกาลตรุษจีนที่หวังไว้ว่า ทุเรียนจะขายได้ราคาดีก็กำลังเข้ามาแล้ว สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังทุเรียนถูกตีกลับ มีการประมาณการไว้ที่ตัวเลข 500 ล้านบาท (มูลค่าทุเรียน 1 ตู้คอนเทนเนอร์ประมาณ 5 ล้านบาท)

โดยทุเรียนที่ถูกตีกลับเหล่านี้ อาจต้องเทขายในตลาดภายในประเทศ เนื่องจากทุเรียนที่ถูกส่งกลับมาจะอยู่ในสภาพสุกแล้ว และหากสุกมากไปกว่านี้ก็อาจจะต้องขายให้ “ห้องเย็น” เพื่อนำไปแปรรูปในราคาถูก

ADVERTISMENT

“ตอนนี้เราลำบากมาก ตู้ทุเรียนที่ถูกตีกลับมาจะต้องเปิดตู้แล้วนำออกมาขายแบบขาดทุน ราคาทุเรียนตีกลับจะตก กก.ละ 110-120 บาท หากเปิดตู้ออกมาแล้วทุเรียนสุกมากก็จะต้องขายเข้าห้องเย็น ราคาร่วงลงมาเหลือแค่ กก.ละ 60-80 บาท ประกอบกับทุเรียนที่ขายกันช่วงนี้เป็นทุเรียนนอกฤดูกาล ทำให้มีผลผลิตน้อย ที่ผ่านมาล้งหวังซื้อส่งออกไปขายช่วงเทศกาลตรุษจีน จะได้ราคาสูงมากกว่าช่วงปกติ

ทำให้ไปเหมาสวนกันล่วงหน้าไว้จะตัดวันที่ 15 ม.ค. 68 ในราคาสูง ประมาณ 230-240 บาทต่อ กก. และมีเงื่อนไขตกลงกับชาวสวนทุเรียนไว้โดยจ่ายล่วงหน้า 30% ของวงเงินทั้งหมด ตอนนี้หากชะลอการตัดทุเรียนก็จะถูกชาวสวนริบเงินมัดจำ แต่ราคาเหมาสวนตอนนี้ร่วงไปเหลือแค่ 130 บาท/กก. แต่ล้งทั้งหมดหยุดซื้อรอดูความชัดเจนและรอมีเอกสารพร้อมก่อน” แหล่งข่าวกล่าว

ADVERTISMENT

ชาวสวนยอมขาดทุนขายส่งตลาดไท

นายสมยศ เรืองทองฉิน ประธานทุเรียนแปลงใหญ่ ต.ป่าร่อน อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ขณะนี้ราคาทุเรียนในสวนลดต่ำลงมาก จากราคาก่อนมีปัญหาตรวจพบสารย้อมสี BY2 ทุเรียนส่งออกตก กก.ละ 200-220 บาท พร้อมกับคาดการณ์ว่า ในช่วงตรุษจีนราคาทุเรียนจะพุ่งขึ้นไปถึง กก.ละ 220-230 บาท แต่ตอนนี้ราคาร่วงลงมาเหลือ 170-175 บาท ขณะที่ล้งที่เหมาสวนไว้ล่วงหน้านัดไว้จะเข้ามาตัดวันที่ 10 ม.ค. 68 “แต่ก็ไม่ได้เข้ามาตัดทุเรียน ตอนนี้ในพื้นที่มีผลผลิตทุเรียนอยู่ประมาณ 90 ตัน”

อย่างไรก็ตาม ชาวสวนทุเรียนยังมั่นใจว่า จะต้องมีพ่อค้าติดต่อเหมาสวนตัดทุเรียนแน่นอนภายใน 1 สัปดาห์ เพราะตลาดมีทุเรียนปริมาณน้อย และที่สำคัญราคาทุเรียนลดลงมามากแล้ว เจ้าของสวนเองก็ต้องการขาย เพราะทุเรียนจะแขวนไว้ติดต้นได้อีกไม่เกิน 10 วัน ถ้าไม่มีพ่อค้ามารับซื้อจะเริ่มสุก พ่อค้าส่งออกจะไม่รับซื้อเพราะทุเรียนสุกจะมีน้ำหนักเบา ต้องนำไปขายส่งแผงตลาดภายในประเทศ ตอนนี้คือช่วยกันสื่อสารทางโซเชียลในกลุ่มสมาคมทุเรียนใต้ เพื่อหาพ่อค้ามาซื้อ ทุเรียน

ด้านพ่อค้าคนกลางที่เหมารับซื้อทุเรียนส่งขายล้งเพื่อส่งออก จ.นครศรีธรรมราช กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อล้งส่งออกหยุดรับซื้อทุเรียน หลายสวนที่เหมานัดตัดทุเรียนระหว่างวันที่ 10-15 ม.ค. 68 เกรด ABC กก.ละ 170-180 บาท ตอนนี้ต้องหาแม่ค้าแผงรับซื้อเพื่อขายตลาดภายในประเทศ ยอมชะลอการตัดทุเรียนออกไป 2-3 วัน และต้องลดราคาขายขาดทุนให้แผงรับซื้อขายตลาดในประเทศเหลือ กก.ละ 130-135 บาท ซึ่งแผงที่รับซื้อจะส่งตลาดไท และอีกส่วนหนึ่งขายให้โรงงานแช่แข็ง ตอนนี้มีทุเรียน AB ที่ส่งออกไปจีนไม่ได้ถูกตีกลับมาขาย กก.ละ 150-170 บาท ขายโรงงานแช่แข็ง กก.ละ 80 บาท แกะเนื้อ กก.ละ 500-600 บาท

ทางด้านนายประพันธ์ แดงพรม ประธานทุเรียนแปลงใหญ่จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จ.นครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตทุเรียนทวายมากที่สุดของภาคใต้ใน 9 อำเภอ ประมาณ 10,311 ตัน ผลผลิตออกในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 68 ตอนนี้ผลผลิตเพิ่งออกไปชุดแรกก่อนวันที่ 1-10 ม.ค. 68 จำนวน 1,285 ตัน หรือ 12% เท่านั้น จะออกมากราวกลางเดือน ม.ค. ต้นเดือน ก.พ.ประมาณ 8,000 ตัน หรือ 77% ช่วงวันที่ 11-20 ม.ค. เป็นช่วงที่ปริมาณทุเรียนออกมากที่สุดเกือบ 3,000 ตัน หรือ 27% เมื่อล้งส่งออกไม่ได้ พ่อค้าที่ทำสัญญาเหมาสวนไว้ไม่มาเก็บเกี่ยว ขอเลื่อนกำหนดและบางรายถูกเจ้าของสวนยึดมัดจำ

ส่วนสวนที่ไม่ได้เหมาทุเรียนไว้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวได้ก็ต้องตัดขายแผงส่งตลาดภายในประเทศ เพราะถ้าปล่อยไว้จะเกิดความเสียหาย “ตอนนี้ราคาหน้าล้งลดลงจาก 180-190 บาท/กก. เหลือ 150 บาท จากราคาเหมาสวนใหม่จาก 140-150 บาท/กก. เหลือ 130 บาท” นายประพันธ์กล่าว

ทุเรียนไทย-เวียดนาม-มาเลย์โดนหมด

มีรายงานข่าวจากสมาคมทุเรียนไทย เข้ามาว่า ทางสมาคมผู้ส่งออกหลายสมาคมได้ออกประกาศยืนยันไม่ให้ใช้ “สารชุบเติมแต่ง” ในกระบวนการผลิตทุเรียนส่งออก เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่จีนกำหนดและสร้างความเชื่อมั่น แต่ทราบมาว่า ทางการจีนใช้มาตรการตรวจหาสาร BY2 และสารแคดเมียมกับทุเรียนไทย เวียดนาม มาเลเซีย แม้เวียดนามจะมีห้องแล็บแสดงผลตรวจสาร BY2 ได้แล้ว แต่ยังต้องให้จีนตรวจสอบตอนนำเข้าอีกครั้ง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน คาดว่าจะทำให้มีรถและเรือติดค้างที่ด่านจำนวนมาก “ขณะนี้จีนขอสุ่มตรวจทุเรียนไทย เวียดนาม มาเลเซีย เกินกว่า 50% และต้องใช้เวลานาน 7 วันแล้ว”

แล็บไทยก็ตรวจได้คิดราคา 3 พัน/ตัวอย่าง

นายสัญชัย ปุรณะชัยคีรี นายกสมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย กล่าวว่า จีนตรวจเข้มสาร BY2 ทั้งทางเรือ ทางบก และทางอากาศ โดยสำนักงานศุลกากรคุนหมิง แจ้งว่า การทดสอบทุเรียนไทย ทุเรียนเวียดนาม สีเหลืองอ่อนอัลคาไลน์อ่อน 2 (สีเหลืองมะนาว) เริ่มดำเนินการวันที่ 10 ม.ค. 68 ผลจะออกภายใน 7 วัน รวมระยะเวลาทั้งหมดที่ส่งออกจากไทยประมาณ 18 วัน

ซึ่งมาตรการของจีนหากพบครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 จะแจ้งเตือนและส่งคืน แต่หากพบครั้งที่ 3 จะทำลายทุเรียนทิ้งภายในระยะเวลา 7 วัน “จากการประชุม Fruit Board ได้มีมาตรการแก้ไขและแนวทางปฏิบัติการส่งออกทุเรียนให้ดำเนินการไปได้ โดยบริษัทที่ตรวจสอบแจ้งว่า สามารถตรวจและออกเอกสารรับรอง ถ้าตรวจไม่พบสาร BY2 ได้ใน 10 วันทำการ แต่ถ้าฝ่ายจีนตรวจซ้ำและพบสาร BY2 ก็จะมีความผิดทั้งล้งและเจ้าหน้าที่ตรวจปล่อย” นายสัญชัยกล่าว

รายงานข่าวจากกรมวิชาการเกษตร แจ้งเข้ามาว่า บริษัทศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเชีย จำกัด (มหาชน) AMARC ซึ่งเป็น 1 ใน 22 บริษัทที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมวิชาการเกษตร ให้ข้อมูลว่า จะสามารถให้บริการตรวจและให้การรับรอง Test Report ของสาร Basic Yellow 2 ได้ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. 68 จะใช้เวลาตรวจ 3 วัน คิดค่าบริการ 3,000 บาท/ตัวอย่าง ส่วนค่ามาตรฐานที่จีนแจ้งไว้ต้องไม่เกิน 2 ppb (2 ส่วนในพันล้านส่วน)

Fruit Board สั่งตรวจ 100%

ด้านนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ได้สั่งให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสาร 100% รวมไปถึงการตรวจสารแคดเมียมหนอนทุเรียนและสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลำไยด้วย หากตรวจพบจะดำเนินการตามบทลงโทษตามประกาศกรมวิชาการเกษตร

นอกจากนี้ยังได้เตรียมความพร้อมที่จะส่งเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปตรวจตามล้งต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดชุมพร-นครศรีธรรมราช เนื่องจากผลผลิตทุเรียนกำลังจะทยอยออกสู่ตลาด ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรฯกำลังวางมาตรการใหม่ภายใน 10 วัน จะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อยกระดับคุณภาพและความเชื่อมั่นในทุเรียนไทย

“ในวันที่ 5-7 ก.พ. 2568 จะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ และจะนำเรื่องดังกล่าวหารือกับทางสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (General Administration of Customs of the People’s Republic China : GACC) หลังจากที่จีนมีการดำเนินการตรวจสอบสินค้าผักผลไม้ไทยอย่างเข้มงวด โดยในปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.) ไทยส่งออกผลไม้สดไปจีน 1.817 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 177,131 ล้านบาท

ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรได้ออกประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่องมาตรการควบคุมการปนเปื้อนสารห้ามใช้ในทุเรียนผลสดส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2568 โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 10 มกราคม 2568 ประกอบไปด้วย 1) กรณีที่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต ต้องใช้ทั้งชนิดและปริมาณที่ถูกต้อง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง หรือตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 หรือข้อกำหนดของประเทศคู่ค้า

2) กรณีตรวจพบโรงคัดบรรจุใช้สารห้ามใช้หรือมีสารห้ามใช้ไว้ในครอบครอง จะถูกระงับการส่งออกและนำไปสู่การยกเลิกหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตสินค้าพืชก็ได้ และ 3) กรณีเจ้าหน้าที่สงสัยว่าทุเรียนมีการใช้สารห้ามใช้ ให้มีอำนาจสั่งให้โรงคัดบรรจุนำผลทุเรียนนั้นไปตรวจวิเคราะห์กับห้องปฏิบัติการ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาออกใบรับรองสุขอนามัยพืช

สำหรับสถิติการส่งออกผลไม้ไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ปี 2567 พบว่า ไทยส่งออกผลไม้ไปสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวนรวมทั้งสิ้น 101,884 ตู้/ชิปเมนต์ ปริมาณรวม 1,824,815 ตัน มูลค่ารวม 134,954 ล้านบาท โดยมีปริมาณการส่งออกลดลงจากปี 2565 และปี 2566 โดยเป็นการส่งออกทุเรียน จำนวน 52,960 ตู้/ชิปเมนต์ ปริมาณ 824,777 ตัน มูลค่า 88,806 ล้านบาท

ในส่วนของการส่งออกลำไย จำนวน 15,102 ตู้/ชิปเมนต์ ปริมาณ 375,327 ตัน มูลค่า 16,018 ล้านบาท ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรรายงานอีกด้วยว่า ได้เตรียมยื่นขอเปิดตลาดส่งออกลำไยทุกประเภทจากไทยไปฟิลิปปินส์ เพื่อขยายตลาดเพิ่มขึ้น