SCG-ปูนเอเซีย-TPI-คูโบต้า ดัน “สระบุรี” สู่เมืองคาร์บอนต่ำ

สระบุรีแซนด์บอกซ์

จังหวัดสระบุรี ถือเป็นเมืองหลวงของธุรกิจโรงโม่ มีบริษัทอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศเกือบทั้งหมดตั้งอยู่ที่นี่ ที่ผ่านมาจึงมีปัญหาเรื่องฝุ่น และการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ดังนั้นเมื่อปีที่ผ่านมา ภาครัฐ และภาคเอกชนในจังหวัดได้ผนึกกำลังกัน ริเริ่มทำ “โครงการสระบุรีแซนด์บอกซ์” ขึ้น โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี 2570 ในโอกาสครบรอบ 1 ปีของการดำเนินงาน แต่ละบริษัทมาเปิดเผยถึงผลสำเร็จ และแผนงาน เป้าหมายที่จะเดินต่อไป

ปูนเอเซียชูปี’68 ปูน OPC 0%

นายอานนท์ จันทร์แย้ม ผู้จัดการฝ่ายคุณภาพและพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีความพยายามปรับใช้พลังงานสีเขียวมากขึ้น ในการนำสิ่งของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต (Waste) ในโรงงานมาผลิตไฟฟ้า ที่ผ่านมามีการตั้งโซลาร์ฟาร์ม (Solar Farm) เฟสที่ 1 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ 20 เมกะวัตต์ (MW) ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 12,000ตัน/ปี เท่ากับการปลูกต้นไม้ 1.2 ล้านต้น ขณะนี้กำลังทำโซลาร์ฟาร์ม เฟส 2 กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ รวม 2 เฟส ได้พลังงานไฟฟ้า 30 เมกะวัตต์ เทียบเท่าลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 20,000 ตัน/ปี หรือการปลูกต้นไม้ 2,000,000 ต้น

พร้อมร่วมมือกับสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) เพื่อผลักดันการใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก (Hydraulic Cement) ที่ลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตทดแทนการใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ (OPC) ปัจจุบันใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก 80% ของการใช้ปูน OPC ทั้งหมด ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของบริษัทได้ 100,000 ตัน/ปี

ตั้งเป้าให้ปี 2568 การใช้ปูน OPC เป็น 0% ตามนโยบาย สระบุรีแซนด์บอกซ์ พร้อมกับร่วมมือกับชุมชน นำขยะชุมชน ขยะอุตสาหกรรม เศษวัสดุจากพืช มาใช้ในการผลิตปูนเม็ด เพื่อทดแทนการใช้ฟอสซิล ที่เป็นสาเหตุหลักของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และคาดว่าภายในปี 2030 จะทดแทนการใช้ฟอสซิล 60% ของการใช้ทั้งบริษัท

สำหรับกรีนโปรดักต์ มีพัฒนาสูตรปูนไฮดรอลิกให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Sustainable Product) มากขึ้น โดยให้มีการลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงอีก 20-30% ในอนาคต และคาดว่า Sustainable Product จะมีมากกว่า 60% ในการขายพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ส่วนในแผนระยะยาว ภายในปี 2050 จะเข้าสู่ Net Zero

SCG หนุนการดักจับคาร์บอน

นายหัสชัย ประหารภาพ ผู้อำนวยการโรงงานปูนซีเมนต์ไทยสระบุรี กล่าวว่า ได้เปลี่ยนใช้พลังงานชีวมวลจากวัสดุทางการเกษตร เช่น แกลบ ใบอ้อย ซังข้าวโพดทดแทนการใช้ถ่านหิน เป็นโรงปูนแรกที่ผลิตปูนซีเมนต์แบบ Low Carbon ซึ่งที่ผ่านมามียอดขายมากถึง 5.2 ล้านตัน ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 270,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี และปี 2567 ใช้ไปทั้งหมด 640,000 ตัน สามารถลด CO2 ได้ 580,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ การนำขยะเชื้อเพลิง ขยะมูลฝอยทดแทนการใช้ถ่านหิน ซึ่งปีที่ผ่านมาใช้ไป 270,000 ตัน สามารถลดการปล่อย CO2 ได้ 270,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี

ทั้งนี้ วัสดุทดแทนจะหายากขึ้น จึงมีการส่งเสริมให้ปลูกพืชอื่นมาทดแทนในอนาคต เช่น หญ้าเนเปียร์ ไผ่ กระถิน ซึ่งปีที่ผ่านมาได้เริ่มปลูกแล้ว 1,100 ไร่ ได้ผลผลิต 200 ตัน สามารถลดการปล่อย CO2 ได้ 1,200 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี

ADVERTISMENT

ส่วนด้านไฟฟ้าติดตั้งโซลาร์ ทำให้ปีที่ผ่านมาสามารถลด CO2 ได้ 180,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี มีการใช้พลังงานที่ผลิตจากโซลาร์ 130,000 ตัน สามารถลดการปล่อย CO2 ได้ 66,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี

ทั้งการผลักดันปูนซีเมนต์แบบ Low Carbon การใช้พลังงานทดแทนถ่านหิน การปลูกพืชพลังงาน การใช้ไฟฟ้าทดแทน การใช้โซลาร์แทนความร้อนเหลือทิ้งลด CO2 ได้ 1.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 144 ล้านต้น

แผนดำเนินการต่อไป “ทำอยู่ ทำต่อ” คือ การใช้เชื้อเพลิงชีวมวล ผลักดันพืชพลังงาน ขณะเดียวกันวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยน รถขุดในเหมือง ถูกเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า (EV) มากขึ้น และ Solar Farm ใช้ได้เพียงตอนกลางวัน จึงนำมาสู่การผลักดันการพัฒนาระบบไฟฟ้ารูปแบบใหม่ (Grid Modernization) หรือในอนาคตอาจพูดถึงกระบวนการผลิตใหม่ เช่น พลังงานไฮโดรเจน และเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน (Carbon Capture)

TPI เพิ่ม RDF แทนถ่านหิน

นายวรวิทย์ เลิศบุษศราคาม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันมี 2 บริษัท คือ 1) ทีพีไอโพลีน ทำหน้าที่ผลิตวัสดุก่อสร้าง และ 2) ทีพีไอพาวเวอร์ ผลิตไฟฟ้า ขายไฟฟ้าให้กับรัฐ และผลิตไฟฟ้าให้กับโรงปูน จากเดิมมีโรงไฟฟ้าที่ขายไฟให้กับรัฐ 180 เมกะวัตต์ และผลิตไฟเพื่อใช้เอง 240 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินเพียง 150 เมกะวัตต์ ปี 2567 มีการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนถ่านหินมากขึ้น

และในปี 2568 จะเป็นโรงปูนแห่งแรกที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย (RDF) แทนถ่านหิน 500,000 ตัน

นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายเปลี่ยนการใช้เครื่องจักรต่าง ๆ ให้เป็นไฟฟ้า เช่น รถในเหมือง 40 คัน และรถตัก 20 กว่าคัน เปลี่ยนใช้รถ EV ทำให้ปีที่ผ่านมาสามารถลดการใช้น้ำมันดีเซลในเหมืองได้ 6 ล้านลิตร จากเดิมใช้มากถึง 17 ล้านลิตร เหลือใช้เพียง 11 ล้านลิตร และภายใน 3 ปีจะเปลี่ยนรถทั้งหมดเป็นรถ EV เพราะติดตั้งสถานีชาร์จ 16,000 กิโลวัตต์ไว้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ปีนี้ตั้งเป้าจะลดการขนส่ง 20,000 ตัน/วัน โดยการใช้ระบบสายพานขนส่งภายในบริษัททั้งหมด

ส่วนโรงงานผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากยางรถยนต์เก่าโดยกระบวนการไพโรไลซิส ปีที่ผ่านมาผลิตได้ 5,000,000 ลิตร สามารถทดแทนการซื้อน้ำมันเตาได้ 5,000,000 ลิตร ซึ่งปี 2568 มีแผนขยายกำลังผลิตให้กับลูกค้า

แผนดำเนินการต่อไป จะรับขยะเพิ่มขึ้น รวมกว่า 8,000 ตัน/วัน แต่ตั้งแต่กลางปีนี้จะมีการลดการใช้ถ่านหิน ด้วยการสร้าง Boiler ขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถรับปริมาณ RDF ได้มากถึง 15,000 ตัน/วัน เพื่อลดปัญหาขยะฝังกลบ ลดก๊าซมีเทน และก๊าซเรือนกระจก

ด้านไฟฟ้า โรงไฟฟ้าแสงแดดที่มี 50 เมกะวัตต์ ในเดือนกรกฎาคม 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 90 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างลงทุนก่อสร้าง ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เฟสแรก 20 เมกะวัตต์ ใช้ช่วงเวลาที่ไม่มีแดด

รวมถึงจะขยายการใช้เชื้อเพลิงขยะมากขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมารับขยะมาใช้ในโรงปูน 80,000 ตัน/ปี แต่ปีนี้วางแผนจะเพิ่มปริมาณเป็น 500,000 ตัน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 5-10 เท่า

คูโบต้าดันข้าวคาร์บอนต่ำ

นายรัชกฤต สงวนชีวิน ผู้จัดการฝ่าย Sustainability Development บริษัท สยาม คูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดของประเทศ มาจากการปลูกข้าวครึ่งหนึ่งโดยมาจากขั้นตอนการเพาะปลูก มีการขังน้ำนาน จะยิ่งทำให้มีการปล่อยก๊าซมากขึ้น เช่น การปลูกข้าวดั้งเดิม 1 รอบ จะปล่อย CO2 มากถึงครึ่งตันต่อไร่ต่อปี ขณะนี้มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยให้การลดคาร์บอนและช่วยการลดใช้น้ำ ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนการผลิตลง เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น โดยร่วมมือกับเกษตรอำเภอ และเกษตรจังหวัดสระบุรี ในการพัฒนา “วิธีการปลูกเปียกสลับแห้ง”

มีแปลงข้าวนำร่อง 50 ไร่ โดยการปล่อยน้ำในนาข้าว แล้วลดน้ำให้แห้ง แล้วจะเติมน้ำเข้าไปในภายหลังอีกครั้ง ซึ่งปัญหาหลักคือ หากเกษตรกรไม่มีน้ำเติมเข้าไป จะทำให้นาข้าวแห้งตายได้ เราต้องมีความมั่นใจว่าพื้นที่ที่จะพัฒนามีความพร้อม จึงได้ประสานไปที่ชลประทานจังหวัด พื้นที่ 50 ไร่อาจจะดูไม่มาก แต่เป็นการยากที่จะไปเปลี่ยนความเข้าใจ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด คือ ลดการใช้น้ำ 25-40% หรือประมาณ 900 คิว, ลดต้นทุนการผลิตค่าน้ำ-ยา-ปุ๋ยกว่า 10% หรือประมาณ 800 บาท/ไร่ และสามารถเพิ่มผลผลิตได้ 10% ซึ่งตัวคาร์บอนเครดิตจะเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาในภายหลัง ซึ่งคาดว่าจะได้ 1 ตัน/ไร่

จึงได้ทำเรื่องกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ขึ้นทะเบียน T-VER เป็นภาคสมัครใจสามารถซื้อขายในประเทศอาจไม่ได้ราคามากนัก จึงสมัครเป็น Premium T-VER หรือมาตรฐานขั้นสูง คาดหวังว่าจะสามารถซื้อขายกับตลาดต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงได้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่มีขั้นตอนเพิ่มต้องทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งเกษตรกรจะได้เรียนรู้ ค่อย ๆ ปรับตัวร่วมกัน และจะขยายผลการพัฒนาต่อไปในอนาคต

เพิ่มพื้นที่สีเขียว 45 ป่าชุมชน

นายบุญมี สรรพคุณ อุปนายกสมาคมการท่องเที่ยวสระบุรี กล่าวว่า การอนุรักษ์ป่า ฟื้นฟู และเพิ่มพื้นที่สีเขียว จ.สระบุรีมีพื้นที่ป่าทั้งหมด 500,000 ไร่ มีหน่วยงานต่าง ๆ ดูแล จึงหันมาเริ่มการพัฒนาในส่วนป่าชุมชนที่กระจายอยู่ทั่วทั้งจังหวัดทั้งหมด 38 ป่า ให้เกิดประโยชน์กับสระบุรีอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเริ่มต้น “การสร้างเครือข่าย” ให้เข้มแข็ง มีเวทีการพูดคุย 4 ครั้ง เพื่อให้ชุมชนได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ต่อมาจึงเริ่มสร้างความเข้มแข็งให้กับป่าชุมชน เช่น อาหาร และแหล่งท่องเที่ยว

ที่ผ่านมาได้ทดลองเก็บคาร์บอนเครดิต 3 ป่า ซึ่งใช้เวลานาน จึงขอความร่วมมือกับ SCG ในการขอสนับสนุนดาวเทียมสำหรับการคำนวณคาร์บอนได้ ต่อมาได้ขอความร่วมมือไปที่ศูนย์ควบคุมมาตรฐานการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (SMART Patrol) เพื่อช่วยการออกลาดตระเวน แล้วมีการจับคู่กันระหว่างป่าชุมชนและบริษัทเอกชนใกล้เคียง ในการขอรับอุปกรณ์และงบประมาณในการพัฒนาต่อไป ซึ่งคาดหวังว่าในปี 2568 จะเดินหน้าเชิงลึกมากขึ้นจาก 38 ป่าชุมชนเพิ่มขึ้นเป็น 45 ป่าชุมชน จะทำให้ป่าที่ไม่สมบูรณ์ให้กลายเป็นจากเกรด B ไป A เพื่อให้ป่าสามารถดูดซับคาร์บอนได้มากที่สุด

นอกจากนี้จะทำการสำรวจ เก็บข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น เพื่อให้รู้ว่าแหล่งอาหารธรรมชาติจะออกผลผลิตช่วงเดือนไหน ป่าชุมชนมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง เช่น ท่องเที่ยวถ้ำน้ำพุ ที่มีหนึ่งเดียวในประเทศไทย สามารถเดินทะลุจาก อ.แก่งคอย ไป อ.มวกเหล็กได้, การท่องเที่ยวชมสัตว์ป่า มีนกหนึ่งเดียวในโลก เช่น นกจู๋เต้น บนเขาหินปูนสระบุรี และการพายเรือแม่น้ำป่าสัก เป็นต้น

ปี 2567 ได้เขียนโครงการขอทุนกับกองทุนสิ่งแวดล้อม ทั้งหมด 3.9 ล้านบาท เพื่อมาช่วยป่าชุมชนที่บ้านถ้ำน้ำพุ และ อ.มวกเหล็ก โดยในปี 2568 จะขอทุนสำหรับพัฒนาพื้นที่ป่าชุมชนอื่น ๆ รวมถึงพื้นที่ป่าสงวน เนื่องจากมีกฎหมายออกมาว่าสามารถทำได้ เชื่อว่าหากชุมชนได้รับประโยชน์ จะทำให้มีขวัญและกำลังใจที่ดี ถ้าป่ามีความยั่งยืน คนได้ประโยชน์ไปด้วย