โอท็อปหมื่นรายยอดขายวูบ3หมื่นล้าน ขอแบงก์หยุดเงินต้น-ดอกเบี้ย

กระทบ - เครือข่ายโอท็อปกว่า 9,000 รายได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดทำให้ไม่สามารถขายสินค้าผ่านช่องทางการจัดกิจกรรมอีเวนต์ต่าง ๆ ได้ แม้จะเปิดขายออนไลน์ แต่ทำยอดขายได้ไม่มากนัก จึงอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเยี่ยวยาเช่นเดียวกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ

“เครือข่ายโอท็อปไทย” เฉียดหมื่นรายร้องบิ๊กตู่เยียวยา 5,000 บาท 3 เดือน หลังยอดขายระหว่างเดือน ก.พ.-เม.ย. 63 หายไป 3 หมื่นล้านบาท วอนให้แบงก์ช่วยชะลอการส่งเงินต้น-ลดดอกเบี้ย 6 เดือน พร้อมปล่อยสินเชื่อใหม่ช่วยสภาพคล่องรายละ 2 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2% ระยะยาว 10 ปี เผยเดิมตั้งเป้าผลิตภัณฑ์โอท็อปปีนี้ยอดพุ่งกว่า 20%

นายพงศ์สวัสดิ์ ยอดสุรางค์ ประธานเครือข่ายโอท็อปไทย ประธานเครือข่ายโอท็อปภาคใต้ และประธานคณะกรรมการเครือข่ายโอท็อป (OTOP) จังหวัดสงขลา เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางเครือข่ายโอท็อปไทยที่มีอยู่ประมาณกว่า 90,000 รายทั่วประเทศ ได้ทำหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้ผลิต ผู้ประกอบการสินค้าโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายผลิตภัณฑ์สินค้าโอท็อปไทย ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2563 คิดเป็นยอดขายที่หดหายไปเกือบ 30,000 ล้านบาท คิดจากยอดขายรวมสินค้าผลิตภัณฑ์โอท็อปทั้งปีทั่วประเทศ ประมาณ 100,000 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถจำหน่ายสินค้าในช่องทางการตลาดต่าง ๆ เช่น งานอีเวนต์ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ตลาดประชารัฐ ร้านค้า

โดยต้องการขอความช่วยเหลือใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ขอความอนุเคราะห์ให้กลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน อยู่ในหลักเกณฑ์ของผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ได้รับเงินเยียวยาจำนวน 5,000 บาท ระยะเวลา 6 เดือน 2.ขอความอนุเคราะห์จากธนาคารทุกธนาคารงดส่งเงินต้นและลดดอกเบี้ยร้อยละ 50 ให้แก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP เป็นระยะเวลา 6 เดือน และ 3.ขอความอนุเคราะห์จากธนาคารของรัฐ ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยร้อยละ 2 วงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 10 ปี ให้แก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP

“ปี 2563 เดิมตั้งเป้ายอดขายจะขยายตัวเติบโตที่ดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้นประมาณ 20% โดยปกติการซื้อขายผลิตภัณฑ์สินค้าโอท็อป ผู้ซื้อส่วนใหญ่ต้องการสัมผัสสินค้าของจริง ปี 2563 เราได้วางแผนจะจัดงานโรดโชว์หลายงาน งานอีเวนต์ครั้งแรกของปี 2563 เมื่อวันที่ 3-9 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ อ.เมือง จ.สงขลา จำนวน 200 บูท ตั้งเป้าทำยอดขาย 10 ล้านบาท ปรากฏว่าสามารถทำยอดขายได้ถึง 25 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์ที่ทำยอดขายได้ดี คือ ผลิตภัณฑ์โอท็อปประเภทอาหาร เสื้อผ้า และอัญมณี และจัดโรดโชว์ผลิตภัณฑ์โอท็อปครั้งที่ 2 วันที่ 20-29 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ จ.ชุมพร จำนวน 300 บูท จากทั่วประเทศ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50 ล้านบาท ปรากฏว่าโควิดเริ่มแพร่ระบาดเข้ามาพอดี ยอดขายได้ตกต่ำเกินคาดหมายเหลือประมาณ 18 ล้านบาท และเมื่อรัฐบาลมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศจังหวัด มาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น และเกิดประสิทธิภาพ กิจกรรมทั้งหมดต้องยุติลงอย่างสิ้นเชิง”

นายพงศ์สวัสดิ์กล่าวต่อไปว่า ทางเครือข่ายโอท็อปไทยอยากขอความอนุเคราะห์ให้รัฐบาล สนับสนุนช่วยเหลือกลุ่มโอท็อปไทยกว่า 90,000 ราย เช่นเดียวกับกลุ่มรถแท็กซี่ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง กลุ่มจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลและให้กลุ่มผลิตภัณฑ์โอท็อปที่มีหนี้อยู่กับสถาบันการเงินธนาคาร ให้มีการผ่อนผันการส่งเงินต้น และลดดอกเบี้ยลง เมื่อสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง และมีการปลดล็อกดาวน์แล้ว จึงอยากให้ภาครัฐเริ่มอัดฉีดจัดโรดโชว์ จัดอีเวนต์ภายในประเทศ เชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์โอท็อปสามารถฟื้นฟูได้เร็ว เพราะคนอยากจะออกจากบ้านและช็อปปิ้ง และคนยังมีเม็ดเงินอยู่ และผลิตภัณฑ์โอท็อป ผู้บริโภคเป็นคนภายในประเทศประมาณ 80%

“ส่วนสถานการณ์ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์โอท็อปขณะนี้ มีการเปิดโฉมการตลาดใหม่ โดยการขายสินค้าผลิตภัณฑ์โอท็อปการไลฟ์สด โดยพยายามสร้างความเป็นมืออาชีพ และมีทิศทางพอไปได้ แต่โดยภาพรวมยอดขายผลิตภัณฑ์โอท็อปตกไปประมาณ 90% และแต่ว่าขณะนี้การขายสินค้าทั่วไปกลับมีการไลฟ์สดกันอย่างคึกคักมาก จนเป็นแฟชั่นในขณะนี้”

นายกฤษณ์ เชาว์บวร เลขาธิการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา) เปิดเผยว่า การคลายล็อกจะคลายได้สำหรับจังหวัดที่ปลอดจากไวรัสโควิด-19 แล้ว แต่จะต้องมีมาตรการควบคุมในระดับที่สอดคล้องต้องกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำสอง ซึ่งการคลายล็อกมาตรการจะทำให้การประกอบการธุรกิจเคลื่อนไหวหมุนเวียนขึ้น

“ตอนนี้ถือเป็นยุคทองของสินค้าทางดีลิเวอรี่ สินค้าออนไลน์ ตอนนี้ยังไม่รู้สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกจะเป็นอย่างไร แต่ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวส่งผลกระทบหนักและน่าฟื้นหลังรายอื่น หากประเทศไทย ไวรัสโควิด-19 คลี่คลายแล้ว แต่ต่างประเทศยังไม่คลี่คลาย เพราะการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจะต้องพบกับมาตรการป้องกันที่เข้มข้นตามระเบียบขั้นตอนทุกประการ”