ภูเก็ตคลายล็อกเดินทางเข้าออกทุกช่องทาง ดีเดย์ 1 ต.ค.

ภูเก็ต ปรับคำสั่งเข้า-ออกจังหวัดใหม่ มีผล 1 ต.ค. ต่ำกว่า 18 ต้องตรวจเชื้อ
ภาพจาก pixabay

จังหวัดภูเก็ตออกคำสั่งใหม่ คลายล็อกทุกช่องทางสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว มีผล 1 ต.ค.นี้ กรณีอายุไม่ถึง 18 ปี ต้องได้รับการตรวจด้วยวิธี RT-PCR หรือ Antigen Test ไม่เกิน 7 วัน

วันที่ 24 กันยายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ (23 ก.ย.) เฟซบุ๊ก สำนักงาน ประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต โพสต์ประกาศคำสั่งจังหวัดภูเก็ต ฉบับที่ 5745/2564 ลงวันที่ 23 กันยายน 2564 เรื่อง มาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ระบุว่า

ตามที่จังหวัดภูเก็ตได้มีคำสั่ง ที่ 5407/2564 ลงวันที่ 11 กันยายน 2564 เรื่อง มาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้น

เนื่องจากห้วงที่ผ่านมา จังหวัดภูเก็ตได้กำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาแล้วระยะหนึ่ง ทั้งการตรวจคัคกรองแบบเชิงรุก การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ประชาชน ผู้ประกอบการ รวมถึงการเร่งดำเนินการตามแผนบริการวัคจีน ดังนั้น เพื่อให้มาตรการทางด้านสาธารณสุขควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตของประชาชนและการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ

จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 มาตรา 34 มาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 (ฉบับที่ 24) ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2564 (ฉบับที่ 25) ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2564 (ฉบับที่ 24) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 และ (ฉบับที่ 32) ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2564

ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ตามมติที่ประชุมครั้งที่ 56/2564 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 จึงยกลิกคำสั่งจังหวัดภูเก็ต ที่ 5407/2564 ลงวันที่ 11 กันยายน 2564 และกำหนดมาตรการ ตรวจคัดกรองการดินทางข้าจังหวัดภูเก็ต ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตังต่อไปนี้

  1. ผู้เดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ทางด่านตรวจท่าฉัตรไชย ทางน้ำ (ท่าเรือ ทุกท่า) ในจังหวัดภูเก็ตและช่องทางภายในประเทศ ท่าอากาศยานภูเก็ต ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและให้ถือปฏิบัติ ดังนี้
  • ต้องได้รับวัดซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดซิโนแวค (Sinovac), ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) สปุตนิก วี (Sputnik V) ครบ 2 เข็ม หรือซิโนแวค (Sinovac) เข็มที่ 1 แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) เข็มที่ 2 หรือได้รับวัคซีนชนิดแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca), ไฟเซอร์ (Pfizer), โมเดอร์นา (Moderna), จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson and Johnson) จำนวน 1 เข็ม มาแล้วเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน หรือเป็นผู้ที่หายจากอาการป่วยด้วยโรคโควิด-19 มาแล้วไม่เกิน 6 เดือน
  • ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการ RT-PCR หรือวิธีการ Antigen Test ที่มีผลยืนยันจากสถานพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการ โดยมีระยะวลาไม่เกิน 7 วัน ก่อนเดินทางถึง
  • กรณีผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดภูเก็ต เดินทางผ่านด่านตรวจท่าฉัตรไชยและด่านตรวจทางน้ำ (ท่าเรือ) สามารถนำผลตรวจ ATK (Antigen Test Kit) ที่ได้มาตรฐานการรับรองจาก อย. ไปตรวจกับสถานพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการหรือ รพ.สต. หรือนำมาตรวจเองต่อหน้าเจ้าหน้าที่ใช้ยืนยันผลได้ครั้งละไม่เกิน 7 วัน

2. ผู้เดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ที่ได้รับการยกเว้นตามข้อ 1

  • เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ที่เดินทางมากับผู้ปกครองหรือผู้ดูแล
  • ผู้เดินทางมากับรถฉุกเฉินทางการแพทย์ ผู้ป่วยฉุกเฉิน กู้ชีพ กู้ภัย

3. เด็กอายุตั้งแต่ 6 ปี จนถึงผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีน ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการ RT-PCR หรือวิธีการ Antigen Test โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ก่อนเดินทางถึง กรณีผู้เดินทางผ่านด่านตรวจท่าฉัตรโชย และด่านตรวจทางน้ำ (ท่าเรือ) สามารถนำชุดตรวจ ATK ที่ได้มาตรฐานการรับรองจาก อย. มาตรวจเองต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ใช้ยืนยันผลได้ครั้งละไม่เกิน 7 วัน

4. กรณีนักเรียนนักศึกษาอายุไม่ถึง 18 ปี ที่ไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้และมีความจำเป็นต้องเดินทางผ่านเข้า-ออกจังหวัดภูเก็ตเพื่อการเรียนการศึกษาให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาหรือศึกษาธิการจังหวัดออกบัตรประจำตัวเป็นรูปแบบเดียวกันแสดงต่อเจ้าหน้าที่เมื่อเดินทางผ่านเข้า-ออกจังหวัดภูเก็ตและให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการ RT-PCR หรือวิธีการ Antigen Test และออกใบรับรองการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้มีผลใช้ได้ครั้งละไม่เกิน 1 เดือน

5. ผู้ที่มีนัดหมายตามกระบวนการพิจารณาในชั้นศาลพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวน (จำเลยพยานผู้ต้องหาผู้ได้รับการปล่อยตัว) ซึ่งต้องมีเอกสารหลักฐานที่ชัดเจนว่าหากเลื่อนเวลานัดหมายดังกล่าวจะทำให้กระบวนการพิจารณาเสียหายอย่างร้ายแรงให้สามารถเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตได้โดยมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการ RT-PCR หรือวิธีการ Antigen Test เป็นลบโดยมีระยะเวลาไม่เกิน 7 วันก่อนเดินทางถึง

6. ผู้เดินทางมาตามโครงการนำร่องด้านการท่องเที่ยว (7 + 7 Extension) หรือบุคคลที่เดินทางไปท่องเที่ยวนอกเขตจังหวัดภูเก็ตทางทะเลไปจังหวัดนำร่องอื่นแบบไป-กลับภายในวันเดียวพร้อมคนขับเรือมัคคุเทศก์และพนักงานประจำเรือให้สามารถเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตได้โดยมีผลการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่กำหนดโดยให้คนขับเรือมัคคุเทศก์และพนักงานประจำเรือตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี ATK (Antigen Test Kit) ทุกสัปดาห์

7. ให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น “หมอชนะ” และเปิดระบบติดตามไว้ตลอดเวลาหรือลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.gophuget.com เพื่อแจ้งข้อมูลในการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตล่วงหน้าและแสดงคิวอาร์โค้ด (QR Code) ต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อก่อนเข้าจังหวัดภูเก็ต

ผู้ติดเชื้อที่จงใจปกปิดข้อมูลการเดินทางหรือแจ้งข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนและควบคุมโรคเป็นผลให้เชื้อโรคแพร่ออกไปอาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๔ ด้วยขอความร่วมมือผู้ที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 (D-M-H-T-T-A) ได้แก่

  • D-Distancing = เว้นระยะห่างระหว่างกัน
  • M-Mask Wearing สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยเสมอ
  • H-Hand Washing ล้างมือบ่อย ๆ
  • T-Temperature ตรวจวัดอุณหภูมิ
  • T-Testing ตรวจหาเชื้อโควิด-19
  • A-Application ติดตั้งและสแกนแอปพลิเคชั่นไทยชนะและหมอชนะ

อนึ่งเนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สาธารณชนหรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะจึงไม่อาจให้คู่กรณีใช้สิทธิโต้แย้งตามมาตรา 30 วรรคสอง (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2534

หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งฉบับนี้อาจเป็นความผิดตามมาตรา 51 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือมาตรา 52 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับแห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และอาจได้รับโทษตามมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง