กรมปศุสัตว์กางแผนทำ “แซนด์บอกซ์” จำกัดพื้นที่โรคระบาดอหิวาต์แอฟริกันหมู ตั้งความหวังขอคืนสถานะปลอดโรคจาก OIE รีเซตระบบเลี้ยงหมู 5,600 ฟาร์ม เจรจา 4 ประเทศเปิดทางส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูป ขณะที่ผู้เลี้ยงหมูตั้งข้อสังเกต 7 วันแล้วยังไม่พบการระบาดของโรค ASF อีก หวั่นรัฐจ่ายชดเชยให้ผู้เลี้ยงอ่วม ขณะที่ราคาเนื้อแดงยังพุ่งไม่หยุด จูงใจรายย่อย “เสี่ยง” เลี้ยงหมูรอบใหม่ ถึงตายไปครึ่งหนึ่งก็ยังคุ้ม
ผ่านมาได้ 7 วันหลังจากที่กรมปศุสัตว์ออกมา “ยอมรับ” เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีกว่าที่ว่า มีการตรวจพบโรคระบาดร้ายแรง “อหิวาต์แอฟริกันในหมู-ASF” เพียง 1 ตัวอย่างจากโรงเชือดที่ จ.นครปฐม ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ในวงการผู้เลี้ยงหมูที่เชื่อว่า โรค ASF ได้ระบาดไปทั่วประเทศก่อนหน้านี้
- บัตรเครดิตซิตี้ ย้ายไป UOB บัตรประเภทไหน เปลี่ยนแปลงอย่างไร
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
- Q1 “ITD” สะเทือน 4 แบงก์ใหญ่ ส่อตั้งสำรองเพิ่ม-กำไรหด
ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีรายงานการตรวจพบโรค ASF ในหมูจากชุดตรวจสอบของกรมปศุสัตว์อีกเลย ในขณะที่รัฐบาลเองก็ได้เร่งอนุมัติงบประมาณ 574,111,263 ล้านบาทให้เป็น “ค่าชดใช้” หมูที่ถูกสั่งฆ่าในการ “ป้องกัน” โรค ASF ในช่วงที่ผ่านมา
ดัน พท.เลี้ยงหมูเฉพาะส่วน
นสพ.โสภัชย์ ชวาลกุล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า หลังจากกรมแจ้งต่อองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ หรือ OIE ผ่านระบบออนไลน์ สถานะของประเทศไทยจะถูกเปลี่ยนไปเป็น “ประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรค ASF” ทันที ในส่วนกระบวนการขอคืนสถานะปกติจะทำได้หลังจากที่ประเทศไทยสามารถหยุดการแพร่ระบาดได้แล้ว และต้องเฝ้าระวังหลังจากการป่วยตายของหมูที่เป็น ASF ตัวสุดท้ายไปอีกระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาเฝ้าระวังไม่ถึง 1 ปี จากนั้นจะดำเนินการขอคืนสถานะได้
“แนวทางการขอคืนสถานะของไทยทำได้ 2 แบบคือ การขอคืนสถานะแบบปลอดโรคทั้งประเทศ หรือ country free zone หรือการขอคืนสถานะแบบ compartment free/regionalization free zone แต่จะใช้รูปแบบใดขึ้นอยู่กับสถานะการเกิดโรคของแต่ละประเทศ ในส่วนของไทยเมื่อเกิดการระบาดเฉพาะจุดก็จัดทำเป็น “ระบบแซนด์บอกซ์” แก้ปัญหาตามแนวทางของท่านนายกรัฐมนตรี และขอคืนสถานะแบบเฉพาะส่วนหรือ regionalization ได้ ส่วนผลกระทบต่อการส่งออกคาดว่าจะไม่มาก เพราะไม่ใช่ OIE จะห้ามส่งออกหมูเลย แต่การจะมีมาตรการเรื่องการนำเข้าหรือส่งออกใด ๆ ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละประเทศ” นสพ.โสภัชย์กล่าว
ในระหว่างนี้ กรมปศุสัตว์เร่งดำเนินการ 2 ส่วนคือ การจ่ายชดเชยให้กับเกษตรกรที่ต้องฆ่าหมูที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ASF ก่อนหน้านี้ ซึ่งมีจำนวน 159,000 ตัว แบ่งการจ่ายชดเชยเป็น 3 งวด ซึ่งเงินชดเชยงวดสุดท้ายคือ เงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อสัปดาห์ก่อนในวงเงิน 574 ล้านบาท คาดว่าจะมีเกษตรกรผู้ได้รับเงินชดเชยประมาณ 56 ฟาร์ม
แต่ขณะนี้ยังมีหมูที่อยู่ระหว่างการเลี้ยงและยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะเป็นโรค ASF หรือไม่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งต้องตรวจสอบ ติดตามและขอจัดสรรงบประมาณเพิ่ม ซึ่งหากจะชดเชยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดคือ 75% ของราคาหมู เช่น หมูขุน 1 ตัว ราคา 10,000 บาท ต้องจ่ายชดเชย 7,500 บาท “ก็จะใช้เงินงบประมาณสูงพอสมควร”
“อีกส่วนหนึ่งเรากำลังเร่งฟื้นฟูเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและการเตรียมเพิ่มจำนวนหมูกลับสู่ตลาด ล่าสุดทางกรมปศุสัตว์ได้ดำเนินมาตรการสร้างมาตรฐานฟาร์ม โดยกำหนดให้ผู้ที่ต้องการกลับมาเลี้ยงที่มีขนาด 500 ตัวขึ้นไปต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน GAP ส่วนผู้ที่มีจำนวนการเลี้ยงไม่เกิน 500 ตัว ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสมในสุกร (GFM)
โดยได้จัดทำ “เช็กลิสต์” 8 ด้าน ประกอบด้วย การจัดพื้นที่เลี้ยงและโครงสร้างการจัดการโรงเรือนหรือเล้าและอุปกรณ์ การจัดการยานพาหนะ การจัดการบุคคล การจัดการด้านสุขภาพ การจัดการอาหาร น้ำและยาสัตว์ การจัดการข้อมูล และการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด ซึ่งหากผ่านกระบวนการทั้งหมดเกษตรกรก็สามารถกลับมาเลี้ยงหมูได้ โดยรัฐบาลได้จัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 4% จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มาปล่อยกู้ให้รายละ 100,000 บาทเบื้องต้นไปก่อน ซึ่งขณะนี้มีฟาร์มที่ได้มาตรฐาน 5,684 ฟาร์ม”
ส่วนทางด้านการส่งออกหมูนั้น ปีนี้ยังคาดว่าประเทศไทยจะส่งออกเนื้อหมูดิบและสินค้าเนื้อหมูปรุงสุก หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหมูได้ 23,000 ตัน มูลค่า 3,646 ล้านบาท โดยกรมปศุสัตว์จะเร่งเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศที่กำหนดเงื่อนไขการนำเข้าเฉพาะ เช่น สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, ฮ่องกง และอินเดีย เพื่อขอให้มีการส่งสินค้าหมูและผลิตภัณฑ์แปรรูปออกไปให้ได้ตามระเบียบของประเทศนั้น ๆ อาทิ สิงคโปร์ หมูต้องปลอดจากโรค ASF ในหมูอย่างน้อย 3 เดือน, ฮ่องกง หมูมีชีวิตต้องมาจาก พท.ปลอด ASF ในช่วง 12 เดือน ส่วนอินเดีย กำหนดอาจนำเข้าหมูสดจากประเทศที่มีแผนเฝ้าระวังและมีการกำหนดพื้นที่ปลอดโรค ASF ได้
Top 5 ผู้ส่งออกหมู
ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมรายชื่อผู้ส่งออกหมูในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-พฤศจิกายน 2564) ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีรายงาน-การสั่งทำลายหมู ตามแผนรับมือโรค ASF เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรค แต่ยังไม่มีประกาศการระบาดของโรค ASF ในประเทศไทย โดยผู้ส่งออกหมูมีชีวิตรายใหญ่ 5 อันดับแรกของประเทศ ได้แก่ หจก.โอเค รุ่งเรือง 999 , หจก.อ.โภคทรัพย์, หจก.วังน้ำเย็น อินเตอร์เทรด, บจก.สิงห์ไทยชิปปิ้ง และ หจก.รักษ์ชายแดน ส่วนผู้ส่งออกเนื้อหมูสดแช่เย็นหรือแช่แข็ง 5 อันดับแรก ได้แก่ บจก.ไอ-ซีวาย ชยา, บจก.อาหารเบทเทอร์, บจก.กาญจนาฟาร์ม, บจก.ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง และ บจก.วี.ซี.มีท โปรเซสซิ่ง (กรุงเทพ)
หวั่นรัฐเงินไม่พอชดเชยรอบใหม่
ด้านแหล่งข่าวจากวงการผู้เลี้ยงหมูเปิดเผยว่า จำนวนหมูที่อยู่ระหว่างการเลี้ยงและยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะติดโรคระบาดร้ายแรง ASF หรือไม่นั้น คาดการณ์ว่าปัจจุบันจะมีแม่หมูอยู่ประมาณ 550,000 ตัว และหมูขุนอีกประมาณ 12-13 ล้านตัว หากหมูจำนวนนี้เกิดโรคร้อยละ 100 คำนวณคร่าว ๆ แล้ว รัฐจะต้องจ่ายค่าชดใช้เฉพาะแม่หมูก็ตกประมาณ 2,400 ล้านบาท แต่หากจะนับรวมหมูขุนทั้งหมดเข้าไปด้วย จะต้องใช้เงินชดใช้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
ส่วนสถานการณ์การเฝ้าระวังและตรวจสอบฟาร์มเลี้ยงหมูหลังจากพบโรค ASF ในโรงเฉือดที่นครปฐม ของ กรมปศุสัตว์ ด้วยการออกมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายและควบคุมฟาร์มหมูทั่วประเทศอย่างเข้มงวดนั้น ในทางปฏิบัติ ปศุสัตว์จังหวัดในพื้นที่ไม่กล้าออกใบเคลื่อนย้ายให้ฟาร์มหมูขนย้ายหมูข้ามเขตจังหวัด เนื่องจากทราบดีว่า โรค ASF มีการกระจายเชื้อไปทั่วประเทศแล้ว ส่งผลกระทบให้สถานการณ์ขาดแคลนหมูและหมูในพื้นที่ปรับราคาสูงขึ้นทวีความรุนแรงขึ้นด้วย
เสี่ยงเลี้ยงหมูรอบใหม่
ล่าสุดมีรายงานเข้ามาว่า ด้วยราคาหมูเนื้อแดงที่ปรับขึ้นไปสูงกว่า กก.ละ 240 บาท และมีแนวโน้มว่าราคาจะขยับเข้าไปใกล้ กก.ละ 300 บาทในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงนี้ ทำให้ผู้เลี้ยงรายย่อย-รายกลางและรายใหญ่บางรายที่ได้รับผลกระทบจากโรค ASF ยอม “เสี่ยง” ที่จะซื้อลูกหมูขุนกลับมาเลี้ยงใหม่ ส่งผลให้ราคาหมูขุนมีชีวิตปรับขึ้นจาก 1,000 กว่าบาทเป็น 3,300-3,600 บาทต่อน้ำหนัก 16 กก.
ขณะที่ผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่ก็มีความเคลื่อนไหว โดยเริ่มสร้างฟาร์มใหม่ในโลเกชั่นใหม่ ๆ เช่น ลำปาง, พิจิตร, เพชรบูรณ์ ที่ยังเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีรายงานการพบหมูตายเป็นจำนวนมากเพื่อลงเลี้ยงหมูรอบใหม่ยิ่งจะทำให้โรคแพร่ระบาดไปทั่วและยากต่อการควบคุม
ขณะที่นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โรคระบาด ASF “กระทบการส่งออกไม่มาก” เพราะสัดส่วนการส่งออกหมูต่อภาพรวมกลุ่มอาหารไม่มากนัก เช่น แต่ละปีไทยผลิตหมู 19 ล้านตัว ส่งออกเพียง 1 ล้านตัวถือว่า “มูลค่าน้อยมากเป็นหลัก 1,000 ล้านบาท” และภาพใหญ่แต่ละประเทศมีนโยบายเรื่องการนำเข้า-ส่งออกหมูไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศอาจจะไม่ห้ามนำเข้าก็ได้ ส่วนประเทศที่ออกมาประกาศห้ามนำเข้าหมูจะเป็นประเทศที่เลี้ยงหมู อาทิ ไต้หวัน