
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
“ตี๋ แม็ทชิ่ง” หนึ่งในผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจอีเวนต์ หวนกลับคืนสู่วงการอีกครั้งหลังห่างหายไปนาน พร้อมกับการเปิดตัวอีเวนต์ใหญ่อย่าง “สยาม เจ-โชว์” (SIAM J-SHOW) งานเฟสทีฟแนววัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่จะจัดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2567
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “สมชาย ชีวสุทธานนท์” หรือ “ตี๋ แม็ทชิ่ง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็ทชิ่ง โกลบอล จำกัด ผู้คร่ำหวอดในวงการอีเวนต์มาอย่างยาวนาน ถึงเบื้องหลังการตัดสินใจกลับมาจัดอีเวนต์ใหญ่อีกครั้งในช่วงเวลานี้ และกลยุทธ์การจัดอีเวนต์ให้ประสบความสำเร็จท่ามกลางสภาพตลาดที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง และความท้าทายจากหลายปัจจัย รวมไปถึงแนวทางของแม็ทชิ่ง โกลบอล ในอนาคตหลังจากนี้
ธุรกิจอีเวนต์มุ่งสู่ยุคเน้นผลลัพธ์
“ตี๋ แม็ทชิ่ง” ฉายภาพว่า ปัจจุบันการจัดอีเวนต์มีความท้าทายสูงขึ้นมาก โดยนอกจากสภาพเศรษฐกิจที่ทำให้การหาสปอนเซอร์ท้าทายขึ้นอย่างมากแล้ว ความต้องการและความคาดหวังของสปอนเซอร์ต่อผลลัพธ์ของงานอีเวนต์ยังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วย
โดยขณะนี้โจทย์ของสปอนเซอร์ต่องานอีเวนต์ทุกรูปแบบทั้งมาร์เก็ตติ้งอีเวนต์, อีเวนต์กีฬา, ดนตรี ฯลฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยนอกจากผลลัพธ์ด้านการรับรู้แบรนด์แล้วยังต้องการเพิ่มยอดขายสินค้า-บริการด้วย
เรียกว่า จัดอีเวนต์แล้วได้ผลลัพธ์เพียงด้านแบรนดิ้งหรือการรับรู้แบรนด์นั้นธรรมดาเกินไปแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงนี้เชื่อว่าเกิดจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อในปัจจุบันที่บีบให้ภาคธุรกิจต้องเข้มงวดกับการใช้งบฯ รวมถึงการลงทุนจัดอีเวนต์ที่ต้องเลือกให้ถูกงาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดและเป็นรูปธรรมมากขึ้น อย่างการเพิ่มยอดขาย
หากเดิมการทำงานจะต้อง Put the right man on the right job แล้ว ตอนนี้ในวงการธุรกิจอีเวนต์ก็ต้องเพิ่มการ Put the right budget into the right project เข้ามาด้วยเหมือนกัน
มั่นใจธุรกิจอีเวนต์ยังไปได้
“ตี๋ แม็ทชิ่ง” บอกด้วยว่า แม้จะมีความท้าทายจากเศรษฐกิจ และโจทย์ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่มั่นใจว่าในปี 2568 ที่จะถึงนี้วงการธุรกิจอีเวนต์ โฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ จะมีทิศทางที่ดีขึ้น เพียงแต่อาจไม่หวือหวานัก เนื่องจากผู้คนยังต้องการเสพสื่อ ต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ต้องการมีสังคม มีปฏิสัมพันธ์และสื่อสารกัน
ขณะเดียวกันความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ การที่ไทยมีประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่ น่าจะทำให้ปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ นอกจากนี้ ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า ต้องมองโลกในแง่ดีไว้เสมอ เพราะเมื่อรู้สึกว่ายังมีหนทางไปต่อได้ จะทำให้ไม่ยอมแพ้
โชว์ใหญ่-ทำถึง-ตรงปก
อย่างไรก็ตาม โจทย์ที่เปลี่ยนไปทำให้กลยุทธ์การจัดอีเวนต์ให้ประสบความสำเร็จเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน โดยคีย์ซักเซสของการจัดอีเวนต์ในปัจจุบันนั้นจะต้องเริ่มจากมองว่า อีเวนต์เป็นโปรดักต์ หรือสินค้าอย่างหนึ่ง ที่ผู้จัดจะต้องนำไปขายให้ลูกค้า 2 กลุ่มคือ ธุรกิจที่จะมาเป็นสปอนเซอร์และมาร่วมออกร้าน กับผู้บริโภคที่จะเข้าร่วมชมและจับจ่ายในงาน
ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มต่างมีความคาดหวังในความคุ้มค่าจากต้นทุนที่ตนลงไปในงานอีเวนต์นั้น ๆ เช่น งบฯลงทุนสำหรับจัดงาน เวลาที่จะใช้มาร่วมงาน รวมถึงเม็ดเงินที่จะมาจับจ่ายในงาน ดังนั้นตัวแปรสำคัญแรก คือ ผู้จัดต้องทำให้งานมีจุดจดจำและจุดยืนที่โดดเด่น รวมถึงจุดขายที่ชัดเจนให้ผู้คนสามารถพูดถึงได้
โดยผู้จัดและสปอนเซอร์ต้องหาจุดร่วม ที่สามารถแสดงไอเดียความสร้างสรรค์ออกมาได้ ขณะที่สามารถปิดการขายสินค้า-บริการของสปอนเซอร์ภายในงานได้ด้วย หรือเรียกว่าต้องได้ทั้งออนกราวนด์ ออนแอร์ ออนไลน์ และยังต้องออนเซลด้วย
ก่อนจะตามด้วยคุณภาพที่ต้องทำให้ได้อย่างที่ประกาศออกไป เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และให้สปอนเซอร์และผู้ร่วมงานเห็นสิ่งที่จะได้รับอย่างชัดเจน เช่น ยอดขาย และส่วนผู้ร่วมงานจะได้ทราบว่าหากใช้เวลามาเดินชมงาน หรือซื้อบัตรมาร่วมงานจะได้อะไรกลับไป เช่น ความสุข สินค้า ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ดังนั้นการ “โชว์ใหญ่ ทำถึงและตรงปก” จึงมีส่วนสำคัญอย่างมาก เพราะแค่ขนาดของงานนั้นใคร ๆ ก็ทำได้ เพียงแค่หาสถานที่ หรือจ้างบุคลากรมา แต่อาจไม่สามารถทำให้ผู้ร่วมงานจดจำได้
โฟกัสปั้นโอนอีเวนต์
โดยนับตั้งแต่ช่วงโค้งท้ายของปี 2567 นี้ เป็นต้นไป บริษัทจะกลับมามุ่งเน้นการปั้นอีเวนต์ของตัวเองอีกครั้ง โดยขณะนี้วางแผนอีเวนต์ใหญ่ไว้แล้วอย่างน้อย 3 งาน ซึ่งจะทยอยเปิดตัวและจัดทั้งในไทยและต่างประเทศ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป เพื่อสร้างการรับรู้และการเติบโตให้กับบริษัท
ทุ่ม 30 ล้าน จัดสยาม เจ-โชว์
โดยประเดิมด้วยงานสยาม เจ-โชว์ ที่จัดระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-1 ธันวาคม 2567 ที่สยามสแควร์ รวมกลยุทธ์ต่าง ๆ กับความชื่นชอบในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นการส่วนตัว รวมถึงความต้องการท้าทายตนเองหลังในชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ยังไม่เคยทำงานแนวเกี่ยวกับประเทศหรือวัฒนธรรมมาก่อน จึงอยากจะทำอีเวนต์แนวเฟสทีฟเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่จะ “โชว์ใหญ่-ทำถึง-ตรงปก” ในทุก ๆ ด้าน
โดยงานสยาม เจ-โชว์นี้ ได้รับความร่วมมือจากสายการบินแอร์เอเชียในฐานะสปอนเซอร์หลัก และสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) สนับสนุนด้านสถานที่ จะเต็มไปด้วยจุดเด่นที่ตอบโจทย์ทุกฝ่ายแบบวิน-วิน ตั้งแต่สปอนเซอร์ เจ้าของพื้นที่ คู่ค้าที่เข้าร่วมงาน ผู้บริโภคที่เข้าชมงาน ไปจนถึงบริษัท แม็ทชิ่ง โกลบอล เอง ซึ่งจะต่อยอดงานนี้ไปยังอีเวนต์และธุรกิจอื่น ๆ ในอนาคต
ด้วย 4 ไฮไลต์กิจกรรมด้านดนตรี แฟชั่น ของเล่น และวัฒนธรรม ซึ่งต่างเป็นจุดเด่นของวัฒนธรรมญี่ปุ่น และผู้บริโภคไทยให้ความสนใจ ซึ่งจะเน้นศิลปิน-แบรนด์-กิจกรรมที่ไม่เคยจัดในไทยมาก่อน
ในด้านบันเทิงจะจัดเต็มคอนเสิร์ต 3 เวที จากศิลปินญี่ปุ่นและไทยตั้งแต่แนว J-Pop ไปจนถึง Idol รวมกว่า 300 คน อาทิ PSYCHIC FEVER, BALLISTIK BOYZ รวมถึง MindaRyn ยูทูบเบอร์สาวชาวไทยที่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักร้องในญี่ปุ่น เป็นต้น
พร้อมกับแฟชั่นโชว์อีก 2 งาน คือ HARAJUKU FASHION WALK : แฟชั่นโชว์จากแบรนด์ไอคอนิกของฮาราจุกุอย่าง ACDC RAG และ HYPER CORE กับ Morph8ne และ TROFI แบรนด์ไทยชื่อดัง ซึ่งไม่เคยทำโชว์ในประเทศไทยมาก่อน และ STREET COSPLAY PARADE ขบวนพาเหรดคอสเพลย์ครั้งแรกกลางสยามสแควร์ ตามด้วยของเล่นและอาร์ตทอยลิขสิทธิ์แท้จากญี่ปุ่นที่หาซื้อไม่ได้จากที่อื่นรวมถึงกิจกรรม Meet & Greet กับ Ultraman ARC และ Ultraman Tiga
รวมถึงยังมีรถลากญี่ปุ่น ที่ผู้ให้บริการมืออาชีพจากย่านวัดอาซากุสะ รถแต่งญี่ปุ่น ตลาดสินค้าวินเทจญี่ปุ่น บูทร้านอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับ แลนด์มาร์กชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง หอโตเกียวทาวเวอร์สูงกว่า 10 เมตร เป็นต้น
ต่อยอดงานเหย้า-เยือน
นอกจากการจัดงานในประเทศไทยแล้ว บริษัทยังวางแผนใช้เอกลักษณ์ของงานสยาม เจ-โชว์ มาต่อเป็นงานแบบเหย้า-เยือน โดยจะจัดงานที-โชว์ (T-Show) ที่เป็นอีเวนต์เฟสทีฟเชิงวัฒนธรรมไทยสไตล์เดียวกับสยาม เจ-โชว์ในญี่ปุ่นด้วย
โดยวางแผนจัดที-โชว์ 2025 ประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2568 ซึ่งจะยกทัพศิลปินไทยบุกไปยังประเทศญี่ปุ่น และจะนำวัฒนธรรม และไฮไลต์สำคัญต่าง ๆ ของประเทศไทย เช่น เสาชิงช้าไปโชว์ที่ญี่ปุ่นด้วย แบบเดียวกับงานสยาม เจ-โชว์ที่นำทุกอย่างจากญี่ปุ่นมาโชว์ในประเทศไทย โดยจะจัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีเช่นกัน
เบื้องต้นอยู่ระหว่างการลงพื้นที่สำรวจหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับการจัดงานครั้งแรก
ทั้งนี้มั่นใจว่าด้วยยุทธศาสตร์ “โชว์ใหญ่-ทำถึงและตรงปก” จะทำให้ทั้งงานสยาม เจ-โชว์ และที-โชว์ ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน