ตลาดสมาร์ทวอตช์โตเท่าตัว “การ์มิน” สบช่องขยายฐานแฟชั่น-สูงวัย

กระแสสมาร์ทวอตช์แรงไม่หยุด ตลาดรวมโตปีละ 100% “การ์มิน” พลิกกลยุทธ์หันชูจุดขายด้านไลฟ์สไตล์รับกระแสเซ็กเมนต์แฟชั่น-สูงวัยโตพุ่ง ชูดีไซน์กึ่งสปอร์ต-เรียบหรูพรีเมี่ยม ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมจับมือธุรกิจประกัน-การแพทย์ จัดสารพัดแคมเปญกระตุ้นการใช้งาน ก่อนเดินสายผนึกร้านนาฬิการุกปักธงตลาดต่างจังหวัด หวังรับดีมานด์หลังงานวิ่งผุดเป็นดอกเห็ด มั่นใจปีนี้ยอดขายโตต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30% แน่นอน

ปัจจุบันสมาร์ทวอตช์หรือนาฬิกาเพื่อสุขภาพ ยังเป็นเซ็กเมนต์ที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง และเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจากนาฬิกาที่มีมูลค่าตลาดรวมราว ๆ 2.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสนใจสุขภาพเพิ่มขึ้น ทำให้เทรนด์นาฬิกาสมาร์ทวอตช์มาแรง โดยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขการเติบโตของสมาร์ทวอตช์ยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สมาร์ทวอตช์โตกระฉูด

นายไกรรพ เหลืองอุทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จีไอเอส จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสมาร์ทวอตช์และอุปกรณ์ติดรถยนต์แบรนด์ “การ์มิน” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแนวโน้มของสมาร์ทวอตช์ในขณะนี้ว่า ปัจจุบันตลาดสมาร์ทวอตช์สำหรับการใส่ออกกำลังกายในไทยมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยกราฟการเติบโตของตลาดรวมขึ้นชันค่อนข้างมาก โดยปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตกว่าปีก่อนหน้านี้ถึง 100% และสำหรับปีนี้ก็คาดว่ายังจะสามารถเติบโตอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดรวมสมาร์ทวอตช์ก็มีการเติบโตแบบชันมาโดยตลอด ส่วนหนึ่งมาจากเทรนด์การวิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้น และเป็นปัจจัยให้คนหันมาซื้อสมาร์ทวอตช์มากขึ้น

นอกจากนี้ จากการรวมข้อมูลของกลุ่มคนที่ซื้อสมาร์ทวอตช์ในปัจจุบันยังพบว่า คนที่ซื้อสมาร์ทวอตช์ไปใช้นั้นกลับพบว่า เริ่มเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้วิ่ง หรือไม่ได้มีการออกกำลังกาย อาจจะ

มีการออกกำลังกายบ้างเพียงเล็กน้อย ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบัน การใช้หรือใส่สมาร์ทวอตช์นั้นได้ค่อย ๆ เปลี่ยนจากการใส่เพื่อเรื่องของสปอร์ต-สุขภาพ ไปเป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์มากขึ้น เป็นการใส่ตามเทรนด์ เนื่องจากใส่สมาร์ทวอตช์แล้วดูฉลาด ดูสปอร์ต แข็งแรง สุขภาพดี ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะใช้ฟังก์ชั่นของนาฬิกาในเรื่องของการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การนับก้าวเดิน เป็นหลัก

สำหรับบริษัทเองก็มียอดขายที่โตต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 และเติบโตรวดเร็วขึ้นอีกในช่วงปี 2560 ถึงปัจจุบัน โดยเมื่อปีที่ผ่านมายอดขายสมาร์ทวอตช์ของการ์มินก็ยังเติบโตได้ถึงประมาณ 90% หลัก ๆ มาจากปัจจัยในเรื่องของเทรนด์สุขภาพที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยออกกำลังกายมากขึ้น สะท้อนจากจำนวนงานวิ่งต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมาที่มีเกือบ 1,000 งาน นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากบรรดาคนที่มีชื่อเสียงที่หันมาออกกำลังกาย เช่น “ตูน บอดี้ สแลม” และทำให้มีคนสนใจที่จะใส่สมาร์ทวอตช์ในเชิงแฟชั่นมากขึ้นด้วย

ขนสินค้าใหม่รับกระแส

นายไกรรพกล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตและชิงโอกาสจากกระแสการเติบโตที่คาดว่าจะต่อเนื่องไปอีกหลายปีนี้ ตั้งแต่ช่วงโค้งท้ายปี 2562 เป็นต้นไป บริษัทจะมุ่งขยายตลาดในกลุ่มแฟชั่นมากขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปที่ใส่สมาร์ทวอตช์ในเชิงแฟชั่นที่เริ่มมีจำนวนมากขึ้นตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการรุกตลาดกลุ่มสูงวัยอายุ 50 ปีขึ้นไประดับบน-พรีเมี่ยม ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในระยะยาว

พร้อมกันนี้ บริษัทจะปรับรูปแบบการทำตลาดและเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ๆ ด้วยการหันไปสื่อสารเชิงไลฟ์สไตล์แฟชั่น-สุขภาพมากขึ้น ใช้สื่อหลากหลายทั้งออนไลน์และสิ่งพิมพ์ รวมกับการสนับสนุนกิจกรรมออกกำลังกายและซีเอสอาร์ที่ทำอยู่เดิม เช่นเดียวกับไลน์อัพสินค้าซึ่งจะชูรุ่นที่มีดีไซน์สไตล์แฟชั่นหรือกึ่งสปอร์ต และราคาจับต้องได้ช่วง 1 หมื่นบาทที่เป็นกลุ่มที่ขายดีที่สุด อาทิ รุ่นอินสติงต์ (Instinct) ราคา 11,500 บาท ซึ่งคล้ายนาฬิกาดิจิทัลธรรมดา และรุ่นวีโวมูฟเอชอาร์ (Vivomove HR) ราคา 7,990-11,790 บาท ที่มีหน้าปัดเป็นเข็ม ทั้งนี้ดีไซน์ของสินค้ารุ่นใหม่ ๆ หลังจากนี้จะมีความเป็นแฟชั่นมากขึ้นด้วยเช่นกัน รวมถึงจับมือพันธมิตรในวงการต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล, บริษัทประกัน สร้างแผนการตลาด เช่นเดียวกับช่องทางขายที่จะขยายไปในร้านนาฬิกาและพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มผู้ที่ไม่ได้ออกกำลัง-เล่นกีฬาหรือสนใจแก็ดเจต และรับดีมานด์จากกระแสจัดงานวิ่งในจังหวัดต่าง ๆ โดยเพิ่มจำนวนทีมขายและทีมงานสัญจรที่เดินสายไปต่างจังหวัดต่าง ๆ หลังปัจจุบันสามารถครองช่องทางเชนร้านสินค้ากีฬาและห้างสรรพสินค้าได้กว่า 90% แล้ว

“ขณะนี้เป็นจังหวะเหมาะที่จะดีลกับร้านนาฬิกา เนื่องจากหลายแห่งเริ่มส่งต่อกิจการให้รุ่นลูกซึ่งสนใจเรื่องแก็ดเจตมากกว่าคนรุ่นก่อน”

นายไกรรพย้ำว่า สำหรับกลุ่มสูงวัยจะใช้สินค้ารุ่นมาร์ (MARQ) ราคา 60,000-90,000 บาท และรุ่นฟีนิกซ์ (Fenix) ราคา 19,000-22,250 บาท ซึ่งจะเปิดตัวรุ่นใหม่ฟีนิกซ์ 6 ช่วงปลายปีนี้ เป็นไฮไลต์ เนื่องจากมีดีไซน์สุภาพภูมิฐานคล้ายนาฬิกาธรรมดา สามารถใส่ออกงานทางการได้ด้วย จึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และทัศนคติของคนรุ่นนี้ซึ่งมองความคุ้มค่าเป็นหลักได้ดีกว่ารุ่นอื่น ๆ ที่มีดีไซน์สไตล์สปอร์ตหรือแก็ดเจตจนโอกาสใช้งานจำกัด พร้อมสร้างการรับรู้และจูงใจด้วยจุดขายด้านฟังก์ชั่นสุขภาพ อย่างวัดคุณภาพการนอน การเต้นของหัวใจ ออกซิเจนในเลือด ฯลฯ ผ่านสื่อแมกาซีน

ระดับพรีเมี่ยม รวมถึงส่งรุ่นมาร์วางขายเฉพาะในร้านนาฬิกาเพื่อย้ำภาพลักษณ์เทียบเท่านาฬิกาหรู นอกจากนี้ยังร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ อย่างโรงพยาบาล, แพทย์ และบริษัทประกัน สร้างกลยุทธ์การตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้ร่วมกับบริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์จัดแพ็กเกจ “ประกันสุขภาพไทยวิวัฒน์ Active Health อัดฉีดคนแอคทีฟ” พร้อมแถมนาฬิการุ่นฟอร์รันเนอร์ 235 และให้ส่วนลดเบี้ยประกันสูงสุด 1,200 บาททุกเดือน เมื่อผู้ทำประกันออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที และเดิน/วิ่งอย่างน้อยวันละ 7,500 ก้าว หรือจับมือ “เอไอเอ” ให้ส่วนลดสูงสุดเมื่อ 20% ซื้อนาฬิกาการ์มินผ่านเว็บไซต์ aiavitality.co.th และสามารถใช้ข้อมูลจากนาฬิกาเพื่อสะสมแต้มเอไอเอ ไวทัลลิตี้สำหรับแลกรับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้ เป็นต้น เช่นเดียวกับการร่วมมือกับแพทย์และโรงพยาบาลต่าง ๆ ทำโปรเจ็กต์ติดตามผลการรักษา-สุขภาพผู้ป่วยด้วยสมาร์ทวอตช์ รับกระแสการเปิดแผนกเวชศาสตร์ชะลอวัยทอง โดยขณะนี้กำลังเจรจากับโรงพยาบาลอยู่หลายแห่ง

ย้ำจุดแข็งบริการหลังการขาย

นายไกรรพกล่าวในตอนท้ายว่า ขณะเดียวกันยังเดินหน้าอัพเกรดคุณภาพบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจุดแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งดีลเลอร์และลูกค้าตามแนวคิด “เน้นความพึงพอใจสูงสุด” โดยเพิ่มสต๊อกพิเศษไว้สำหรับเปลี่ยนให้ลูกค้าที่มาเคลมสินค้าแล้วต้องใช้เวลาซ่อมนาน จัดเทรนนิ่งให้กับดีลเลอร์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการรองรับการขยายฐานออกต่างจังหวัด

กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ยอดขายปีนี้เติบโตเกิน 30% จากปีก่อนอย่างแน่นอน หลังยอดขาย 8 เดือนเติบโตไปถึง 30% แล้ว และเชื่อว่าในระยะยาวจะสามารถทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะเซ็กเมนต์พรีเมี่ยมเปิดรับนาฬิกาการ์มินในระดับเดียวกับนาฬิกาหรูแบรนด์อื่น ๆ

“ขณะนี้แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อจะไม่ดีนัก แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่มีผลกับยอดขายมากนัก เพราะสินค้าของเราอยู่ในเทรนด์เรื่องสุขภาพ เป็นเทรนด์ที่คนเอาเวลามาดูแลสุขภาพมากกว่าการมานั่งบ่นว่า เศรษฐกิจไม่ดี งั้นลงทุนเรื่องสุขภาพดีกว่า จะได้ไม่เสียหรือเสียค่ารักษาพยาบาลที่น้อยลง ด้วยแนวคิดของคนเช่นนี้ทำให้การ์มินไม่ตกแต่กลับโต” นายไกรรพกล่าว