โหนกระแส “โควิด-19” ธุรกิจแห่พลิกวิกฤตเป็น “รายได้”

คงไม่เฉพาะ “ธุรกิจประกัน” เท่านั้น ที่สามารถพลิกความหวาดกลัว-ตื่นตระหนัก จากภัยร้าย “ไวรัสโควิด-19” ให้เป็นความเชื่อมั่น ความมั่นใจ ได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและรวดเร็ว ด้วยกรมธรรม์ “คุ้มครองการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า โควิด-19” และได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม

แน่นอนว่าในวิกฤตที่เกิดขึ้น ย่อมมีโอกาสตามมาเสมอตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา นอกจากโรงพยาบาลต่าง ๆ จะมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และมีการตรวจคัดกรองผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง ตั้งแต่ติดตั้งเครื่องเทอร์โมสแกน เพื่อตรวจจับผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายเกินกำหนด มีการเตรียมห้องแยกโรคความดันลบ (negative pressure room) พร้อมด้วยอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงโดยไม่ให้ปะปนกับผู้อื่น การเพิ่มความเข้มงวดและเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์สาธารณะต่าง ๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ที่เป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานทั่ว ๆ ไป เพื่อความปลอดภัย

แต่อีกด้านหนึ่งจากการสำรวจพบว่า ขณะนี้โรงพยาบาลเอกชนหลาย ๆ แห่งเริ่มมีความเคลื่อนไหวในการออกโปรแกรมทางการแพทย์ขึ้นมารองรับโรคร้ายนี้ เริ่มจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่ทยอยออกโปรแกรมมารองรับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เริ่มจากโปรแกรมสุขภาพดีอยู่ที่บ้าน ช่วงสถานการณ์ COVID-19 เเละฝุ่น PM 2.5 ปรึกษาเเพทย์…โทร.ผ่านสายด่วน 1378 ปรึกษาแพทย์ จะว่าไปแล้ว โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากไปเผชิญหน้าและเสี่ยงกับภัยร้าย โควิด-19 และปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5

นอกจากการโทร.เพื่อคุยและปรึกษากับแพทย์ได้โดยตรง บำรุงราษฎร์ยังมีบริการจัดส่งยา หลังจากปรึกษาแพทย์และจัดส่งยาตามใบสั่งแพทย์รวมทั้งมีบริการเจาะเลือดที่บ้านตามใบสั่งแพทย์ (เฉพาะเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล) โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม สำหรับ 1-50 กม. (รวมขาไปและขากลับ) และ 500 บาท สำหรับ 51-100 กม. (รวมขาไปและขากลับ)ทว่าบริการตามโปรแกรมนี้มียาวไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้เท่านั้น

พร้อมกันนี้ บำรุงราษฎร์ยังมีโปรแกรมตรวจสุขภาพราคาพิเศษ “Fighting As One” เพื่อการดูแลสุขภาพในช่วงโควิด-19 และฝุ่นพีเอ็ม 2.5 โดยราคาแพ็กเกจมีตั้งแต่ 10,994 บาท ไปจนถึง 30,150 บาทและเมื่อซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพหลัก ยังแถมโปรแกรมการให้วิตามินเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ และสามารถซื้อโปรแกรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายและกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระด้วยโอโซนบำบัดในราคาลด 40%

เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของโรงพยาบาลสมิติเวช ได้ออกโปรแกรมติดตามอาการหลังการตรวจไวรัสโคโรน่า เพื่อจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากพื้นที่เสี่ยง หรือพื้นที่ที่มีการระบาด และผู้ที่แพทย์ต้องติดตามอาการทุกวัน หลังรับการตรวจคัดกรองไวรัสโคโรน่าแล้ว หากแพทย์ให้กักบริเวณเพื่อติดตามอาการ

โดยโปรแกรมนี้แบ่งเป็น 2 แพ็กเกจ คือ วิดีโอคอลกับคุณหมอตลอด 14 วัน ราคา 3,000 บาท และวิดีโอคอลกับคุณหมอตลอด 21 วัน ราคา 4,000 บาท ราคานี้รวมเฉพาะค่าปรึกษาแพทย์ ไม่รวมค่ายาและค่าห้องปฏิบัติการ ส่วนโรงพยาบาลศุขเวช เนอสซิ่งโฮม (ราม 21) นอกจากจะบริการรับดูแลผู้สูงอายุที่เป็นจุดเด่นแล้ว ในช่วงที่กระแสไวรัสโควิด-19 กำลังร้อนแรง โรงพยาบาลแห่งนี้เปิดบริการรับพ่นฆ่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โดยคิดค่าบริการเริ่มต้น 19 บาท/ตารางเมตร เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีบริการจัดส่งทีมพยาบาลวิชาชีพตรวจคัดกรองออกไปให้บริการ ณ จุดคัดกรองตามจุดต่าง ๆ อาทิ อาคารสำนักงาน พร้อมด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ เครื่องเลเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิ แอลกอฮอล์ และเจลล้างมือ

นอกจากความเคลื่อนไหวของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าว “ประชาชาติธุรกิจ” สำรวจความเคลื่อนไหวของสินค้าอุปโภคบริโภคพบว่า นอกจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีดีมานด์มากขึ้นหลายเท่าตัว และสินค้าหลาย ๆ อย่างเริ่มขาดตลาด โดยเฉพาะเจลทำความสะอาดมือ และหน้ากากอนามัย ที่กลายเป็นสินค้าหายากและราคาแพงลิบลิ่ว

ล่าสุดสินค้าทั้ง 2 รายการ ถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการตลาด เพื่อใช้เป็นสิ่งจูงใจ-กระตุุ้นการตัดสินใจซื้อ ในยามที่สินค้าทั้ง 2 อย่างเป็นสิ่งหายาก

เริ่มจากผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน ซอลส์ ของบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ที่นำสินค้าชุดยาสีฟัน-แปรงสีฟัน “ซอลส์ เดนทัลแพ็ก” มาจำหน่าย โดยมีเจลล้างมือแบรนด์ดังจากประเทศญี่ปุ่น “คิเรอิ คิเรอิ” ขนาดพกพา 50 มล. มูลค่า 40 บาท มาแถมให้ฟรี

เช่นเดียวกับ “บีเอสซี คอร์นซอย” ผลิตภัณฑ์น้ำนมถั่วเหลืองในเครือสหพัฒน์ ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภครายใหญ่ที่เดินหน้าจัดแคมเปญ ซื้อครบ 2 แพ็ก แถมฟรี หน้ากากอนามัย 1 ชิ้น จากเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา บีเอสซี คอร์นซอย ได้จัดแคมเปญแถมหน้ากากอนามัยมาแล้วระลอกหนึ่ง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในช่วงฝุ่น PM 2.5 กำลังมีปัญหาอย่างหนักในขณะนั้น

ล่าสุด (10 มี.ค.) ร้านอาหารญี่ปุ่น ประเภทบุฟเฟต์ชาบู “คาโกะโนยะ” ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท อีสเทิร์น ควีซีน (ประเทศไทย) จำกัด มีสาขา 6-8 สาขา ตามคอมมิวนิตี้มอลล์หลายแห่ง สร้างสีสันด้วยการแถมเจลล้างมือ ฟรี เช่นกัน

นี่ยังไม่นับรวมถึงการสร้างความมั่นใจของศูนย์การค้าหรูย่านกลางกรุง ที่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “ดิ เอ็มโพเรียม-ดิ เอ็มควอเทียร์” ที่ลงทุนสร้างอุโมงค์พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หวังลดความหวาดกลัวการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยหลีกเลี่ยงที่จะไปยังสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก จนเป็นกระแสให้คนได้กล่าวถึงอย่างมากมายในโลกโซเชียล และอีกด้านหนึ่งก็เป็นการพลิกเกมเพื่อเรียกคนเข้าศูนย์เรียกทราฟฟิกได้ ดีกว่าที่จะปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรมาสู้ คาดว่าอีกไม่นาน ธุรกิจอื่น ๆ สินค้าอื่น ๆ คงมีความเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ทยอยตามมาอีกเป็นระยะ ๆ