‘อสมท’ เล็งลดพนักงาน 600 ตำแหน่ง ชี้บริษัทกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตด้านการเงินอย่างหนัก สหภาพคัดค้าน เตรียมตบเท้าพบผู้บริหาร
อสมท เร่งรัดให้พนักงานที่ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ลงชื่อเข้าร่วมโครงการเออร์รี่รีไทร์ ที่ อสมท ตั้งเป้าลดพนักงานให้เหลือ 700 คน จากทั้งหมดที่มี 1,600 คน พร้อมจ่ายมากกว่ากฎหมายแรงงาน โดยจ่ายค่าตอบแทนสูงสุดถึง 35.33 เดือน
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
มีรายงานว่า ขณะนี้ ( 22 ตุลาคม) บุคลากรในบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ทยอยลงชื่อเข้าร่วมโครงการแล้ว 300 คน เป็นกลุ่มพนักงานที่อายุงานใกล้เกษียณ และกลุ่มงานวิศวกร ในพื้นที่สำนักงานส่วนภูมิภาค แต่อสมท. ต้องการถึงเป้าหมาย 600 คน อย่างเร่งด่วนที่สุด
สำหรับการดำเนินการจ่ายเงินให้กับการเออร์รี่รีไทร์ ดังกล่าว เป็นไปตามคำแนะนำของบอร์ดจากกระทรวงการคลัง ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และการชดเชยของโครงการ ทั้งนี้ บอร์ด อสมท ได้อนุมัติวงเงินค่าใช้จ่ายสำหรับใช้ดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสิโรตม์ รัตนามหัทธนะ กรรมการและรักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ส่งสารถึงพนักงาน อสมท ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ระบุว่า “เวลานี้บริษัทกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตด้านการเงินอย่างหนัก จำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลงจาก 1,300 คน เหลือ 700 คน พร้อมทั้งเรียกร้องให้พนักงานประหยัดค่าใช้จ่าย โดยยืนยันว่าจะยังไม่มีการลดเงินเดือนแต่อย่างใด”
สารถึงพนักงานระบุว่า ในอดีต อสมท เคยเป็นสื่อสารมวลชนขนาดใหญ่ของประเทศ ซึ่งรัฐบาลเห็นศักยภาพนั้น จึงแปลงสภาพจาก อ.ส.ม.ท. เป็น บมจ.อสมท ตั้งแต่ พ.ศ.2547 โดยเป็นสถานีโทรทัศน์ 1 ใน 6 ช่องที่แข็งแรงและผูกขาดอุตสาหกรรม โดยไม่มีช่องทีวีดาวเทียมหรือเคเบิลทีวีมาแข่งขันได้เลย จนกระทั่ง กสทช.ได้จัดสรรช่องทีวีดิจิทัลตามกฎหมาย
ใน พ.ศ.2556 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ อสมท มีรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากกิจการของ อสมท ดำรงอยู่ได้ด้วยเงินจากการโฆษณา ซึ่งการเกิดขึ้นของทีวีดิจิตอลทำให้เม็ดเงินดังกล่าวถูกตัดแบ่งออกไปสู่ช่องทีวีรายใหม่จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ที่จากเดิมประเทศไทยมีสถานีโทรทัศน์ 6 ช่อง กลายเป็น 28 ช่องในทันที ในขณะที่เม็ดเงินโฆษณายังคงอยู่เท่าเดิม
แม้ กสทช.ได้เคยเปิดให้คืนใบอนุญาตฯ ซึ่ง อสมท ได้คืน MCOT Family ช่อง 14 ไปเมื่อ พ.ศ.2562 เพื่อลดสกาวะการขาดทุนอย่างถาวร อันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของผู้บริหารในยุคนั้น
อีกทั้งภาวะที่ 2 การเกิด Digital Disruption คือ จำนวนผู้ชมโทรทัศน์และผู้ฟังวิทยุลดลงอย่างมากและต่อเนื่อง ทำให้เม็ดเงินโฆษณาในสื่อวิทยุและโทรทัศน์ถูกโยกไปสู่สื่อดิจิทัลอื่น ๆ เป็นเหตุให้เกิดผลกระทบแก่อุตสาหกรรมโทรทัศน์อย่างควบคุมไม่ได้
สำหรับธุรกิจวิทยุกระจายเสียงของ อสมท โดยเฉพาะวิทยุคลื่น FM จำนวน 6 สถานีในกรุงเทพฯ และอีก 53 สถานีในส่วนภูมิภาค ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ได้รับผลกระทบจากภาวะ Digital Disruption ในลักษณะเดียวกัน อสมท ได้เห็นสภาวะดังกล่าว จึงมีแนวคิดการเดินไปสู่ธุรกิจดิจิทัล โดยการเริ่มปรับโครงสร้งบริษัทโดยยกธุรกิจดิจิทัลขึ้นเป็นสายงานใหม่
แต่ต้องยอมรับว่า รายได้หลักของ อสมท เกิดจากโฆษณาทางโทรทัศน์และทางวิทยุ ซึ่งจำเป็นต้องมีการบูรณาการระหว่างการตลาดและการขายของบริการโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อดิจิทัลต่าง ๆ ภายใน อสมท ในรูปแบบ Bundling หรือ Solution ตามความต้องการของลูกค้า
นอกจากนี้ ภาวะที่ 3 ยังมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไร้สโควิด-19 ที่ส่ผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ อันเป็นกาวะที่ควบคุมไม่ได้และยังไม่มีจุดสิ้นสุด ส่งผลทวีคูณให้แก่ทั้ง 2 ภาวะข้างต้น
กระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหุ้นได้ประเมินธุรกิจลักษณะเดียวกับ อสมท ว่าจำนวนพนักงานที่เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจในอนาคตของ อสมท คือ 700 คน ในขณะที่ปัจจุบัน อสมท มีพนักงานมากถึง 1,300 กว่าคน ไม่รวมถึงลูกจ้าง โดยแนะนำให้ อสมท พิจารณาจัดโครงการร่วมใจจากองค์กร (MSP) เพื่อปรับลดพนักงานให้เหมาะสม
โดยฝ่ายบริหารแนะนำให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าร่วมโครงการ ควรมีเป้าหมายในการบริหารจัดการงินที่ได้รับจากโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันสถานะทางการเงินของ อสมท อยู่ในชั้นวิกฤต โดยต้องขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินโครงการ MSP โดยฝ่ายบริหารจะปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ภายหลังจากการดำเนินโครงการ MSP ในทันที
อสมท จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องขอความร่วมมือพนักงานทุกท่านปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบ โดยฝ่ายบริหารจะยังไม่มีการปรับลดเงินเดือนที่ท่านได้รับอยู่แต่อย่างใด จึงขอให้ทุกท่านปฏิบัติงานอย่างเต็มที่และสุดความสามารถ
ท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านมั่นใจว่าคณะกรรมการและฝ่ายบริหารของ อสมท จะมุ่งมั่น พลิกฟื้น อสมท ให้ได้ในอนาคต แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ควบคุมไม่ได้ และขอขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมโครงการ MSP เพราะท่านคือผู้เสียสละที่จะทำให้ อสมท สามารถปรับตัวและอยู่รอดต่อไปได้และขอขอบคุณพนักงานที่ยังอยู่กับ อสมท เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้
“อสมท จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องขอความร่วมมือพนักงานทุกท่านปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบ โดยฝ่ายบริหารจะยังไม่มีการปรับลดเงินเดือนที่ท่านได้รับอยู่แต่อย่างใด จึงขอให้ทุกท่านปฏิบัติงานอย่างเต็มที่และสุดความสามารถ”
- อสมท ฝ่าวิกฤตขาดทุน เร่งฟื้นฟูธุรกิจโจทย์ยากผู้นำใหม่
- อสมท เปิดเออร์ลี่รีไทร์ 700 คน จ่ายสูงสุด 35.33 เดือน
โครงการเกษียณก่อนอายุราชการ อสมท เปิดให้ผู้เข้าร่วมโครงการอายุ 45 ปีขึ้นไป และไม่เกิน 59 ปีบริบูรณ์โดยแนวทางจ่ายชดเชย อสมท จะกู้เงินจากธนาคารมาจ่ายชดเชยให้กับพนักงาน ซึ่งจะแบ่งจ่ายเงินพิเศษ ดังนี้
- หากอายุงานมากกว่า 22 ปี จ่ายเต็ม 22 เดือน
- หากอายุงานน้อยกว่า 22 ปี จ่ายตามอายุงาน อาทิ อายุงาน 20 ปี จ่าย 20 เดือน
- อายุงานเหลือน้อยกว่า 22 เดือน จ่ายตามอายุงานที่เหลืออยู่ เช่น เหลืออายุงาน 15 เดือน จ่าย 15 เดือน รวมกับเงินเดือนตามกฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 400 วัน รวม 13.33 เดือน เป็นทั้งหมด 35.33 เดือน
ในวันเดียวกันนี้ (21 ตุลาคม) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท ได้ทำหนังสือคัดค้าน คำสั่งดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมาทางผู้บริหารไม่เคยมีการสื่อสารกับพนักงานอย่างเป็นรูปธรรม เกี่ยวกับแผนการหารายได้ มีแต่เรื่องการลดรายจ่ายเท่านั้น
รวมทั้งผู้บริหารไม่เคยแสดงภาวะผู้นำ เพราะไม่เคยเสียสละหรือปรับลดเงินเดือนของตัวเองลงเลย และหากผู้บริหารยังไม่ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวทาง สหภาพก็จะล่ารายชื่อและจะขอเข้าพบ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ต่อไป