หากจะกล่าวว่าเป็นช่วงเวลาที่ลำบากของบรรดาธุรกิจร้านอาหารก็คงไม่ผิดนัก หลังจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 รอบแรกเริ่มคลี่คลาย ทราฟฟิกยอดขายหน้าร้านเริ่มกลับมา แต่ไม่นานนักก็ต้องกลับมารับศึกหนักจากการแพร่ระบาดรอบ 2 ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา และลากยาวมาถึงวันนี้ ตลอดจนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปพึ่งช่องทางดีลิเวอรี่มากขึ้น และส่งผลกระทบต่อหน้าร้านที่เป็นช่องทางหลักที่เงียบลงทุกวัน และต้องแบกรับต้นทุนค่าจ่าย ทำให้ธุรกิจร้านอาหารทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ต้องเร่งปรับตัวมากขึ้น
เช่นเดียวกับ “ไมเนอร์ ฟู้ด” ผู้บริหารร้านอาหารรายใหญ่ที่มีแบรนด์ต่าง ๆ อยู่ในพอร์ตโฟลิโอกว่า 8 แบรนด์ อาทิ เดอะพิซซ่า คอมปะนี, ซิซซ์เล่อร์, แดรี่ควีน, เบอร์เกอร์คิง, สเวนเซ่นส์, บอนชอน, เดอะ คอฟฟี่ คลับ และคอฟฟี่ เจอร์นี่ รวมร้านอาหารในเครือมากกว่า 1,430 สาขาทั่วประเทศ ต้องปรับแผนและกลยุทธ์ครั้งใหญ่
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ประพัฒน์ เสียงจันทร์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถึงการปรับตัวและกลยุทธ์แผนการดำเนินงานจากนี้ไป
Q : โควิด-19 ทำให้ธุรกิจร้านอาหารมีความท้าทายมาก
ตอนนี้บริบทหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไป หลังวิกฤตโควิด-19 จากปี 2562 มีทัวริตส์เดินทางเข้ามาในประเทศ 39 ล้านคน และปี 2563 ที่ผ่านมา ไตรมาส 1 มีเดินทางเข้า 10-11 ล้านคน แต่ถึงตอนนี้เป็นศูนย์
ฉะนั้น แลนด์สเคปเปลี่ยนไปหมด โดยก่อนหน้านี้ บริษัทมีลูกค้าคนไทย 40 ล้านคน ทัวริสต์ 60 ล้านคน รวมกันเป็น 100 ล้านคน นักท่องเที่ยว 1 คน ใช้เงินประมาณ 5 หมื่นบาทต่อครั้งในการมาเที่ยว ทำให้มีเงินหมุนเวียนประมาณ 2 ล้านล้านบาท แต่ตอนนี้เป็นศูนย์ นี่คือความท้าทายในการทำธุรกิจ
ตอนนี้ธุรกิจร้านอาหารเจอเหมือนกันหมด ร้านที่เปิดอยู่ยังต้องหารายได้ เพื่อลดค่าใช้จ่าย สิ่งสำคัญ คือ จะทำอย่างไรให้ร้านหากินกับลูกค้าไทยได้ เพื่อหารายได้มา cover ร้านที่ปิดอยู่ นี่คือหลักการใหญ่ที่จะต้องทำ
Q : ในแง่ของพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป
ปัจจุบันช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้นมาก ผู้บริโภคไม่ได้ออกไปทานอาหารเหมือนที่เคยไป ซึ่งมีหลายอย่างเข้ามาทดแทนและกระตุ้นวงจรการบริโภคของคนให้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจรายได้ลดลง เมื่อไม่มีรายได้ การทานข้าวนอกบ้านก็กระทบ (บางพื้นที่) ขณะที่ ปัจจัยเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังน่าเป็นห่วง จะเห็นได้จากไตรมาส 2-3 ในปีที่ผ่านมา กลยุทธ์หลักของบริษัทที่ทำมาเป็นระยะ ๆ คือ จะทำอย่างไรให้ออนไลน์โตขึ้น ซึ่งก็ทำได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะบอนชอน, เดอะพิซซ่า คอมปะนี, สเว่นเซ่นส์ และซิซซ์เล่อร์
จนกระทั่งการแพร่ระบาดกลับมารอบ 2 ดีลิเวอรี่ก็กลับมาเติบโตขึ้น เพราะคนออกจากบ้านน้อยลง จากช่วงที่โควิดคลี่คลายยอดเริ่มแผ่วไป
Q : แนวทางการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เป้าหมายการดำเนินงานจากนี้ ต้องทำให้ทุก ๆ แบรนด์มีการเติบโตขึ้น มี 2 มุม ได้แก่ ธุรกิจและบุคลากร โดยในส่วนของธุรกิจ คือ ออร์แกนิกโกรท ทำให้ร้านเดิมมียอดขายเพิ่มขึ้น และอินออร์แกนิกโกรท การเติบโตด้วยการขยายสาขา ด้วยการปรับโมเดลธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตผ่านการซื้อหรือการลงทุน เช่น การหาพันธมิตรที่มีศักยภาพเข้ามาเสริมธุรกิจ
เช่นเดียวกับบุคลากร ต้องอัพสกิล จากเดิม 1 คน ดูแลเพียง 1 แบรนด์ วันนี้ต้องดู 2 แบรนด์ เช่น การมอบหมายให้ทีมงานที่เคยดูแบรนด์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วมาดูแบรนด์ใหม่ นี่คือ strategy ในอนาคต ซึ่งเป็นการสร้างความแข็งแกร่งกับแบรนด์และใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าแทนที่จะไปรีครูตคนข้างนอกเข้ามา หรือแม้แต่การรับพนักงาน ก็จะต้องเน้นเรื่อง good attitude และ good mindset ขณะเดียวกันก็ต้องทิ้งองค์ความรู้เก่า ๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ไป และเสริมองค์ความรู้ใหม่ ๆ เข้ามา เช่น เรื่องของดิจิทัล
หลังยุคโควิด เราจะต้องปรับใหม่หมด เราจะ expand ความรู้เฉพาะเรื่องที่จำเป็น เช่น การโปรโมต การทำโปรโมชั่น และต้องสร้างไลน์กรุ๊ปเพื่อสื่อสารกันในเขตพื้นที่ที่แต่ละคนดูแล เพื่อสื่อสารกันได้ครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
ทั้งหมดนี้คือเป้าหมายหลัก ที่ทุกคนต้องมองไปในทางเดียวกัน ภายใต้โจทย์จะทำอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตขึ้น
Q : หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย การรับประทานในร้านจะกลับมาหรือไม่
กลับมาแน่นอน แต่จะถูกทดแทนด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ทำงานที่บ้าน หรือประชุม ทุกคนไม่สามารถเจอกันได้ แต่สามารถสั่งอาหารมากินที่บ้านได้ สัดส่วนรายได้ของ dining จะแบ่งไปที่ดีลิเวอรี่ ปัจจุบันรายได้รวมของไมเนอร์ฟู้ด แบ่งเป็น ไดนิ่ง 40% ดีลิเวอรี่ 30% ไดรฟ์ทรูและเทกอะเวย์ 30%
Q : มีแบรนด์อะไรบ้างที่จะยังคงมีแผนจะเดินหน้าขยายสาขาเพิ่ม
หลัก ๆ จะเป็น เบอร์เกอร์คิง ในรูปแบบไดรฟ์ทรู เน้นเปิดตามปั๊มน้ำมันที่มีทราฟฟิกหนาแน่น และจะมีการปรับอิมเมจ ด้วยการย้อนกลับไปเอาโลโก้เมื่อ 20 ปีที่แล้วมาใช้ใหม่ และทุกอย่างในร้านก็จะเปลี่ยนหมด อาทิ เมนู ยูนิฟอร์มพนักงาน และจะเริ่มทยอยปรับใช้กับร้านที่เปิดใหม่ เช่น สาขาในปั๊มคาลเท็กซ์ (นครนายก) ส่วนร้านเดิมยังไม่ปรับเพราะค่าใช้จ่ายสูง
ส่วนบอนชอน ตอนนี้เริ่มขยายไปในหัวเมืองหลักต่างจังหวัด ล่าสุดเปิดที่เชียงใหม่ ขอนแก่น โดยบางพื้นที่จะเปิดแบบฟูลเซอร์วิส และบางพื้นที่เน้นร้านไซซ์เล็ก
นอกจากนี้ ในส่วนของเดอะคอฟฟี่คลับและแดรี่ควีน อาจจะใช้รถฟู้ดทรักเข้าไปทดลองตลาดก่อนเปิดสาขา ตอนนี้มีฟู้ดทรักของเดอะคอฟฟี่คลับ 2 คัน และแดรี่ควีน 2 คัน
วันนี้ทุก ๆ แบรนด์ได้ปรับเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร โดยมีการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ลอนช์สู่ตลาดอยู่เป็นระยะ ๆ และต้องโฟกัสที่ลูกค้าคนไทย ปรับลดราคาให้ถูกลง จัดโปรโมชั่นต่อเนื่อง
ขณะที่คอฟฟี่ เจอร์นี่ ปัจจุบันมีเพียง 3 สาขา ได้รับการตอบรับดีจากเมนูกาแฟ เบเกอรี่ แซนด์วิช ด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย จากนี้มีแผนเปิดเพิ่มอีก 10 สาขา ในปั๊มเอสโซ่ โดยตอนนี้เป้าหมายสำคัญคือ ทำให้คนรู้จักคอฟฟี่ เจอร์นี่ มากขึ้น
Q : ยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์จากนี้ไป
ระยะสั้นคือ ต้องปรับตัว ด้วยการหันมาเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทย การจัดโปรโมชั่นจะต้องทำ แม้ต้นทุนสูงขึ้น คุณภาพอาหารไม่ลดลง แต่ต้องทำกำไรให้ได้เท่าเดิม ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำ คือ ต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น อีเวนต์ ค่าเช่าออฟฟิศ บุคลากร ตำแหน่งไหนที่คนออกอาจจะไม่มีการรับเข้ามาใหม่ ให้คนที่มีอยู่ทำแทนไปก่อน เพื่อให้การปฏิบัติงาน lean ที่สุด
ควบคู่กับการเพิ่มสปีดในการตัดสินใจ จากเดิมไมเนอร์จะเร็วอยู่แล้วจะต้องเร็วเพิ่มขึ้นไปอีก เช่น เดิมทีการเตรียมโปรโมชั่นต้องตัดสินใจล่วงหน้า 3 เดือน แต่วันนี้อาจจะไม่ทันแล้ว เพราะวิกฤตมาเร็ว ต้องตัดสินใจแก้ไขได้ทันที หรือแม้กระทั่งโปรโมชั่นที่ลอนช์ไปแล้ว ปกติจะนาน 2 เดือน แต่ถ้าไม่เวิร์กก็สามารถเปลี่ยนโปรโมชั่นใหม่ได้ทันที
ขณะที่ระยะยาว ยกตัวอย่าง เดอะคอฟฟี่คลับ ที่มีสาขาอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว จะทำอย่างไรไม่ให้ขาดทุน ซึ่งต้องโฟกัสการทำตลาดไปที่คนไทย ลดราคาทุกเมนู จากเดิมราคาอาหารจะบวก VAT 7% เซอร์วิสชาร์จ 10% วันนี้ต้องตัดออกไปเลย 17%
หรือเบอร์เกอร์คิง ที่มีสาขาตามแหล่งท่องเที่ยวประมาณ 20 สาขา บางแห่งยังเปิดอยู่ ตอนนี้เริ่มปรับเมนูและราคา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยตั้งแต่ก่อนโควิดรอบใหม่จะมา จึงพอปรับตัวได้ ถ้าไม่ทำมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นจะยิ่งหนักขึ้น
สำหรับแบรนด์ที่อยู่กับลูกค้าไทยมานานและแข็งแกร่งอยู่แล้ว ได้แก่ เดอะพิซซ่า คอมปะนี สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เล่อร์ บอนชอน ไม่น่าเป็นห่วง เพียงแต่ต้องรักษาอัตราการเติบโตไว้ให้ได้
Q : งบฯมาร์เก็ตติ้งจัดสรรอย่างไร
ต้องรีวิวใหม่ทั้งหมด ด้วยพฤติกรรมคนตอนนี้เปลี่ยนจริง ๆ ต้องหยุดนิ่งสักพักแล้วจะรู้ว่าต้องใช้งบฯกับส่วนไหนมากสุด และต้องตัดมีเดียบางอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป และถ้าอะไรบางอย่างถูกแทนที่ให้แล้ว เช่น มีเดีย ช็อปปิ้ง โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ การซื้อสื่อต่าง ๆ ต้องเปลี่ยนไป เพราะถ้าเป็นการตลาดรุ่นเก่า แบบหว่านแหคงไม่มีใครทำแล้ว แต่งบฯใช้จ่ายยังไม่ลด ใช้เท่าเดิม แค่ต้องเปลี่ยนวิธีการ และสื่อสารให้ตรงจุด อย่างอินฟลูเอนเซอร์ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้
Q : ตอนนี้โอเปอเรตหรือรับมือกับโควิดรอบใหม่อย่างไรบ้าง
มีการ work from home แบ่งเป็นที่ออฟฟิศ 2 ทีม เพื่อลดความแออัด และหน้าร้าน ที่ส่วนใหญ่จะปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐที่ให้คำแนะนำ ถ้ามีการแจ้งเตือนว่าห้างมีคนติดเชื้อเข้ามาใช้บริการ จะบิ๊กคลีนนิ่ง 1 วัน แต่ถ้ามีผู้ติดเชื้อเข้ามาใช้บริการในสาขา ต้องให้พนักงานทั้งกะ เปลี่ยนกะทันที และชุดนั้นต้องกักตัว 14 วัน จากนั้นต้องเตรียมพนักงานเข้ามาทำงานทดแทน ด้วยการดึงพนักงานในสาขาใกล้เคียง อย่างละ 1-2 คน มาบริการลูกค้าไปก่อน
สุดท้ายนี้ไม่เฉพาะธุรกิจร้านอาหาร แต่ทุก ๆ ธุรกิจต้องอดใจรอ ถ้าทัวริสต์กลับมา ต้องพร้อมเปิดร้าน และเตรียมสินค้ารองรับเพื่อกลับมาขายได้เหมือนเดิม และคาดว่าไตรมาส 3 สถานการณ์น่าจะคลี่คลายและค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ