ค้าปลีก จี้รัฐเร่งกระจายวัคซีน-หยุดดอกเบี้ย-เพิ่มวงเงินยิ่งใช้ยิ่งได้ ต่อลมหายใจ SMEs

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จี้รัฐเร่งคลายล็อกธุรกิจ ชง 3 มาตรการ เร่งกระจายวัคซีน-หยุดดอกเบี้ย 6 เดือน-เพิ่มวงเงินยิ่งใช้ยิ่งได้ 1 แสนบาท ปลุกมู้ดลูกค้ากำลังซื้อสูง ต่อลมหายใจ SMEs กว่า 1 แสนราย พร้อมฟื้นจีดีพีประเทศ

วันที่ 16 กรกฏาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบใน 10 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วยกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการทั้งในและนอกระบบประกันสังคม มีระยะเวลาในการช่วยเหลือ 1 เดือน โดยครอบคลุม 10 กลุ่มอาชีพ รวมทั้งลดค่าน้ำค่าไฟแก่ประชาชนทั่วประเทศอีก 2 เดือน เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของลูกจ้าง นายจ้างและประชาชนที่ได้รับผลกระทบในช่วงล็อกดาวน์

ล่าสุด นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า มาตรการภาครัฐครั้งนี้ออกมาได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่ต้องการจากรัฐบาลคือ การเร่งจัดหาและกระจายวัคซีนอย่างรวดเร็วและทั่วถึงให้กับบุคลากรของกลุ่มการค้าปลีกและบริการ เพื่อให้การล็อกดาวน์ครั้งนี้ เจ็บแต่จบ และหากฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย ก็จะสามารถเปิดประเทศได้ อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังไม่เพียงพอ และควรครอบคลุมผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนทุกกลุ่ม รวมทั้งขยายระยะเวลาในการเยียวยาให้ยาวขึ้น พร้อมเร่งดำเนินการให้เงินเยียวยาถึงมือโดยทันที

ญนน์ โภคทรัพย์

ทั้งนี้สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ขอเสนอ 3 มาตรการ ดังนี้

1.มาตรการจัดหาและกระจายวัคซีนที่ชัดเจน อันประกอบไปด้วย ใช้พื้นที่จุดฉีดวัคซีนที่ภาคค้าปลีกและบริการได้เตรียมไว้ทั่วประเทศ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, เร่งฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรของกลุ่มการค้าปลีกและบริการให้ทั่วถึง, สนับสนุนชุดตรวจ Rapid Antigen Test ให้กับธุรกิจในภาคค้าปลีกและบริการเพื่อนำไปตรวจเชิงรุกให้กับบุคลากรในบริษัท เป็นการลดความเสี่ยงของการระบาด

2.มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการค้าปลีกและบริการ โดยลดค่าน้ำ ค่าไฟ เพิ่มเป็น 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน, เพิ่มมาตรการพักหนี้ ช่วยลูกหนี้ในพื้นที่ล็อกดาวน์ จาก 2 เดือน เป็น 6 เดือน พร้อมหยุดคิดดอกเบี้ยเงินกู้, สนับสนุนให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่เป็นผู้รับสินเชื่อ Soft Loan จากสถาบันการเงิน เพื่อนำไปให้กับผู้ประกอบการ SMEs

3.มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน โดยเร่งปรับกลไกโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ให้เหมือนกับ โครงการ “ช้อปดีมีคืน” และเพิ่มวงเงินเป็น 100,000 บาท เพื่อกระตุ้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง พร้อมส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมโดยจัดเก็บภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่บาทแรก และห้ามขายสินค้าต่ำกว่าทุน และปลดล็อกขั้นตอนการออกใบอนุญาตเหลือเพียง 1 ใบ (Super License) จากเดิมที่ต้องขอใบอนุญาตกว่า 43 ใบ จาก 28 หน่วยงาน

และขยายเวลาโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับนักศึกษาจบใหม่ (Copayment) ซึ่งจะสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2564 ออกไปอีก 1 ปี,ทดลองใช้ระบบการจ้างงานประจำเป็นรายชั่วโมง เพื่อสอดคล้องกับช่วงฟื้นฟูธุรกิจและเกิดการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น

“วิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีกและบริการทั่วประเทศ กว่า 100 บริษัท ครอบคลุม SMEs ในห่วงโซ่การค้ามากกว่า 100,000 ราย นับเป็น 40% ของมูลค่าการบริโภคค้าปลีกทั้งประเทศ หรือคิดเป็น 12% ของ GDP ซึ่งมีความสำคัญและถือได้ว่าเป็นเสมือนกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทย

และในสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ สมาคมพร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับภาครัฐด้วยสรรพกำลังทั้งหมดของสมาคม และภาคีเครือข่าย เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งข้อเสนอทั้งหมดนี้จะต้องทำให้เกิดขึ้นทันที ผมเชื่อว่าด้วยการรวมพลังของเราทุกคน จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง”