“ฟอร์ด” สวนตลาดติดท็อป 4 ปีที่ดีสุดในรอบ 27 ปี

รัฐการ จูตะเสน
รัฐการ จูตะเสน
คอลัมน์ : สัมภาษณ์

ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ฟอร์ดเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เมื่อ 27 ปีก่อนจากการขึ้นแท่นแบรนด์ที่มียอดขายรวมตลอดทั้งปีสูงสุดอันดับ 4 ในประเทศไทย

เป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปี ด้วยยอดขายระดับ 36,483 คัน จากรถยนต์เพียงสองรุ่นหลัก คือในรุ่น เน็กซ์เจน อย่างเรนเจอร์ และเอเวอเรสต์ เท่านั้น

อะไรคือ คีย์ซักเซส และสเต็ปก้าวต่อไปที่วันนี้ รัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ แม่ทัพใหญ่ บอกว่า ฟอร์ดตัดสินใจปรับลดไลน์อัพสินค้าให้น้อยลง เพื่อให้สามารถง่ายต่อการบริหารจัดการ และโฟกัสตลาดได้ตรงจุด

เปิดความสำเร็จปี 2566

จากตัวเลขในปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมปิดไปที่ 777,000 คัน ลดลงจากปี 2565 ที่มียอดขาย 840,000 คัน ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายที่ต่ำมาก ต่ำกว่าช่วงที่เกิดโควิด-19 ก็เป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทั้งตลาดโลก และในประเทศ ความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้าลดลง ส่งผลให้สถาบันการเงินต้องเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบหนักมาก คือกลุ่มลูกค้ารถปิกอัพหัวเดี่ยว และแบบมีแค็บ หรือรุ่นเริ่มต้น เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ตลาดรวมรถปิกอัพลดลงประมาณ 30%

ทำให้สัดส่วนยอดขายเมื่อเทียบกับตลาดรวมลดลงเหลือ 35% จากเมื่อปี 2565 มีสัดส่วนอยู่ที่ 42% ส่วนฟอร์ดมียอดขาย 36,483 คัน จากรถยนต์ 2 รุ่นหลัก ๆ ที่ทำตลาดคือ ปิกอัพขนาด 1 ตัน อย่างฟอร์ด เรนเจอร์ ที่มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 9.2% จาก 8.7% ในปี 2565 และฟอร์ด เอเวอเรสต์ มีส่วนแบ่งตลาด 19.8% จาก 14.8% ในปีก่อน 2565 ซึ่งยอดขายรถยนต์ทั้งสองรุ่น

ในปีที่ผ่านมาถือว่า เราทำได้ดีเป็นประวัติการณ์ ทั้งฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ ครองตำแหน่งรถขายดีที่สุดอันดับ 3 ได้อย่างเหนียวแน่นทั้งในเซ็กเมนต์รถกระบะและ PPV ทำให้ฟอร์ดมียอดขายรวมตลอดทั้งปีสูงสุดเป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย ก็เป็นผลมาจากการนำเสนอนวัตกรรมอันโดดเด่นที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ตลาดรถยนต์ไทยอยู่เสมอ ความไว้วางใจของลูกค้าในการใช้งานนวัตกรรมบริการต่าง ๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตั้งเป้าเพิ่มแชร์ทะลุ 10%

สำหรับปีนี้ ฟอร์ดคาดการณ์ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ น่าจะดีขึ้น หลังจากปี 2566 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีแห่งความยากลำบากของค่ายรถยนต์อย่างมาก โดยเฉพาะรถปิกอัพที่ตลาดรวมหดตัวหนักมาก เมื่อเทียบกับตลาดรวม และฟอร์ดยังเดินหน้าสร้างสีสันต่อยอดความสำเร็จของรถทั้งสองรุ่น

อย่างเรนเจอร์ ปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10% ส่วน เอเวอเรสต์ จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 22%

โฟกัสโปรดักต์ตรงลูกค้า

แน่นอนว่าเรามีการปรับกลยุทธ์การทำตลาดใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของสินค้า จากเดิมจะมีรถยนต์มากรุ่น อย่างเรนเจอร์มีมากถึง 23 รุ่น ปีนี้เราปรับลดจำนวนรุ่นลงมา และเน้นการทำตลาดให้ตรงกลุ่มเหลือประมาณ 12 รุ่นย่อย ได้แก่ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร และ 3.0 ลิตร เรนเจอร์ สตรอมแทร็ค 4×4, ไวลด์แทร็ก 4×2 เกียร์ 6 สปีด, ดับเบิลแค็บ ไฮไรเดอร์ เกียร์อัตโนมัติ, ดับเบิลแค็บ เอ็กซ์แอลเอส เกียร์อัตโนมัติ และกระบะดัดแปลง เอเวอเรสต์ ทุกรุ่น

นอกจากจะเป็นรุ่นที่ขายดีแล้ว ยังช่วยให้ง่ายต่อการทำตลาด โฟกัสไปได้ตรงกลุ่มลูกค้า ส่วนดีลเลอร์เองก็ไม่ต้องแบกรับสต๊อกไว้เยอะ ทำให้สามารถโฟกัสการขาย และทำตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมแนะนำรถรุ่นตกแต่งพิเศษมาสร้างสีสันและกระตุ้นตลาดรูปแบบรุ่นพิเศษและลิมิเต็ดเอดิชั่นด้วย

ขยับราคาหลังต้นทุนเพิ่ม

หลังจากก่อนหน้านี้คู่แข่งหลาย ๆ ค่ายได้มีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายรถไปบ้างแล้ว ส่วนฟอร์ดมองว่า ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านถือเป็นจังหวะและโอกาสอันเหมาะสม เราจึงตัดสินใจประกาศปรับราคา ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างเรนเจอร์ มีการปรับราคาไป 11,000-15,000 บาท เอเวอเรสต์ มีการปรับขึ้นราคา 23,000 บาท

EV ไม่กระทบปิกอัพ

จะเห็นได้ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับความนิยมต่อเนื่องหลังจากรัฐบาลมีการให้การสนับสุนน และเชื่อว่าจะต่อเนื่องถึงปีนี้ด้วย เนื่องจากมีค่ายรถยนต์จากจีนรายใหม่ ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น

แน่นอนว่าน่าจะมีการเปิดตัวรถอีวีอีกหลาย ๆ รุ่น และจะทำให้การแข่งขันในกลุ่มรถอีวีรุนแรงขึ้น แต่ในส่วนของตลาดรถปิกอัพนั้นจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากรถ EV ทั้งนี้จะเห็นว่า รถ EV จะส่งผลกระทบกับตลาดรถยนต์นั่งเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ต้องเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด ยอดขายรถ EV เมื่อปีที่แล้วทำไว้ได้ประมาณ 75,000 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% จากตลาดรวม

ในปีนี้คาดว่าสัดส่วนน่าจะเพิ่มขึ้นอีก แต่ฟอร์ดมองว่าสัดส่วนรถ EV ในประเทศไทย สูงสุดจะอยู่ที่ประมาณ 20% เพราะจากการศึกษาตลาดในต่างประเทศพบว่า ตลาดรถอีวีใหญ่ที่สุดคือ ประเทศจีน มีสัดส่วนเพียง 30% และตลาดยุโรป กับสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนอยู่ที่ 10% เท่านั้น เพราะยังไม่สามารถตอบสนองในการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก

EV ฟอร์ดพร้อม

ถึงวันนี้เราก็ยังต้องบอกว่า ฟอร์ดต้องติดตามสถานการณ์ของตลาดอย่างใกล้ชิด ในตลาดโลกเรามีสินค้าที่เป็นรถ EV อยู่แล้ว แต่ต้องรอดูความต้องการและโอกาสของประเทศไทยจะเป็นไปในทิศทางใด ถามว่า 5 ปีจากนี้จะได้เห็นหรือไม่นั้น

รัฐการทิ้งท้ายว่า ถ้าตลาดพร้อมก็อาจจะได้เห็นรถ EV จากฟอร์ดเร็วกว่านี้แน่นอน