ปัจจัยชี้ขาดประยุทธ์ เลือกแคนดิเดตนายกฯ รวมไทยสร้างชาติ ทิ้ง พปชร.

ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เปิดเหตุผลสุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประกาศจุดยืนการเมือง เลือกเดินหน้าลงเลือกตั้งกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ทิ้งพลังประชารัฐ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยอมรับเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชี “พรรครวมไทยสร้างชาติ” อย่างชัดถ้อย ชัดคำ เป็นครั้งแรก เช้าวันที่ 23 ธันวาคม 2565

เหตุผลหลักที่อยู่ในใจ ออกจากปากเป็นประโยคแรก ๆ ว่า “วันนี้จำเป็นต้องพูดวันนี้ เพราะเกรงว่า ถ้าไม่พูดก็จะไปกันเรื่อย วิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อย ผมก็ตัดสินใจแล้ว ต้องขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนผมเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นศัตรูกัน”

ถ้อยคำ – เหตุผล ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่เป็นปัจจัยชี้ขาด การตัดสินใจทางการเมือง ระบุชัดเจน ว่า…

….ผมพยายามทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยมากที่สุด ให้ดีที่สุด ผมทำคนเดียวไม่ได้ ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วน ต้องมีหลักคิดว่าจะทำยังไง จะเลือกใคร จะเลือกได้ยังไง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกพรรคการเมือง การเลือก ส.ส. ก็ต้องมองดูว่าจะได้ใครเป็นนายกฯ ท้ายที่สุดมันอยู่ตรงนั้น บอกแล้วว่า เลือกตั้งมาแล้วท้ายที่สุดก็ต้องมารวมคะแนนกัน รวมเสียงกัน ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล แล้วก็เสนอชื่อคนที่เป็นนายกฯ เป็นเรื่องของอนาคต ไม่มีอะไรแน่นอน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน

….ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญที่สุด ต้องคิดกัน ไตร่ตรองกันให้รอบคอบ มีเหตุมีผล มีหลักคิด ถ้าสมมติว่าอยากได้โน่นนี่ แต่เกินขีดความสามารถของรัฐบาล เกินขีดความสามารถในการใช้งบประมาณก็จะเดือดร้อน ประเทศชาติก็จะเสียหาย คิดให้ได้ เพราะมีประโยชน์โดยรวม ประโยชน์ของแต่ละกลุ่ม แต่ละอาชีพ เราต้องเฉลี่ยการใช้จ่ายเงินที่ดี นายกฯใช้หลักการนี้บริหารมาโดยตลอด หลายอย่างก็ดีขึ้น หลายอย่างก็เจอปัญหา ประสบปัญหา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยรอบ

ADVERTISMENT

….งานหลักของผมคือ ดูแลชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน คือ หน้าที่ผมในการยืนอยู่ตรงนี้ เคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า เข้ามาเพราะเหตุผลอะไร มีความจำเป็นคืออะไร ทุกคนก็ทราบ แต่ลืมไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็มีคนมาพูดจาเสียหาย มาตำหนิผมเรื่องโน้น เรื่องนี้ ลืมไปหมดแล้วว่าท่านทำเสียหายอะไรไว้บ้าง และตนเข้ามาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ๆ แต่มันก็ยังมีปัญหาอยู่ ถ้าเราใช้อะไรเด็ดขาดก็ลำบากเหมือนกัน

….สิ่งที่สำคัญในวันนี้ มากกว่าการเลือกตั้งก็คือ ทำยังไงให้ประชาชนของเรามีความรัก ความสามัคคี นายกฯให้ความสำคัญเรื่องนี้มาโดยตลอด เช่น ในสถานศึกษา การบูลลี่ การบิดเบือนต่าง ๆ ต้องไปดูว่า ใครเป็นคนทำ มาจากไหน ต้นตอมาจากใคร ใครเริ่มต้น ครูมีหน้าที่ทำให้ผ้าขาวผืนนี้เป็นผ้าขาวบริสุทธิ์ เพราะเด็กเหล่านี้บริสุทธิ์ ความต้านทานอาจจะน้อย เชื่อง่าย ต้องสอนคนให้มีหลักคิดตั้งแต่เด็ก ครูมีบทบาทสำคัญ ผมขอร้อง หยุดกันเถอะครับ คนคิดอย่างผมมีเยอะ แต่ไม่กล้าพูดออกมา กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์ ยังฝากไว้ด้วยว่า  กรุณาทำความเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจด้วยว่า ทั้งหมดถ้าท่านได้รัฐบาล ตนไม่ได้หมายความถึงตน ขอให้ได้รัฐบาลที่ดี ๆ ที่ซื่อสัตย์สุจริต ทำในสิ่งที่เป็นไปได้ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในส่วนที่มีคดีความอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไป ทุกอย่างต้องทำอย่างสุจริต โปร่งใส เป็นธรรม ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ

โดยเฉพาะสำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ ตนไม่อยากให้มาเดือดร้อนด้วย การใช้จ่ายงบประมาณต้องระมัดระวังอย่างที่สุด การจะให้อะไรต่าง ๆ ต้องคำนึงถึงงบประมาณ เป็นส่วนสำคัญที่สุด ว่า จะเอางบประมาณมาจากไหน ไม่ใช่ตนไม่อยากให้ แต่ให้แล้วจะพอไหม ต้องใช้เงินเท่าไหร่

“หลายคนบอกว่า ทำไมจะรวยเท่ากันไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ในโลกใบนี้ อยู่ที่เราจะพัฒนาได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่รัฐบาลหน้า ใครเป็นก็ตามน่าจะต้องทำแบบนี้ ไม่สร้างภาระ การที่รัฐบาลกู้เงินมา รัฐบาลอยากกู้ไหม ก็เงินไม่พอ เงินไม่มี แล้วกู้มาทำอะไรล่ะ ทั้งหมดกู้มาทำอะไร ดูแลเรื่องรักษาพยาบาล เรื่องวัคซีน ดูแลภาคธุรกิจเป็นกลุ่ม ๆ มากบ้างน้อยบ้าง ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่ให้ธุรกิจล้ม ดูแลแรงงาน คือ เงินที่ใช้ไป ผมไม่ได้ใช้ส่วนตัวสักกะบาท”

“ผมไม่ได้ยืนยันว่าต้องเป็นผมตลอดไปสักเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือก เพียงแต่วันนี้ไม่อยากให้โจมตีกันไปกันมาจนเสียหาย ผมก็รักษามารยาทเต็มที่กับทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ เพราะเสนอผมครั้งที่แล้ว วันนี้ เขาเปิดตัวอะไรกันแล้ว ผมก็จำเป็นต้องพูดวันนี้ เพื่อที่จะเลิกสับสนอลม่านสักที เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง”

“ช่วงนี้ขออย่างเดียวขอให้บ้านเมืองสงบ วันนี้เลือกตั้งได้ แต่ต้องให้เวลาคนได้มีเวลาคิด สร้างสรรค์ในสิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งที่ควรจะเป็น นี่คือปัญหาอย่างเดียวของเรา เรามีความพร้อมทุกอย่าง ถ้าเรานำพาประเทศไปในทางถูกต้อง ดีงาม สุจริตโปร่งใส ประเทศไทยไม่น้อยหน้าใครทั้งสิ้น หลายอย่างเราปรับแก้ไปแล้ว กรุณาให้ความสนใจด้วย แต่ยังมีอีกเยอะต้องทำต่อ ถ้าผมไม่อยู่ก็ต้องฝากคนใหม่ทำไป ขึ้นอยู่กับท่านจะทำหรือไม่ทำ”

แคนดิเดตนายกฯ พลังประชารัฐ

ย้อนไปหลายปีก่อน 8 กุมภาพันธ์ 2562 พล.อ.ประยุทธ์ ตอบรับเข้าเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ ครั้งนั้นออกแถลงการณ์ ใจความว่า…

…พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน นับเป็นเวลากว่าสิบปี ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ พี่น้องทั้งหลายคงจำได้ว่า บ้านเมืองเราขณะนั้น ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนแตกแยกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย บางครั้งเกิดความรุนแรงถึงขั้นมีการใช้กำลังและอาวุธสงครามเข้าทำร้ายกัน

การทำลายสถานที่ราชการ การทำลายการประชุมระดับชาติ จนเป็นอันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สิน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ตลอดจนชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของประเทศชาติ สถานการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2557

ผลก็คือการพัฒนาประเทศ การลงทุนและเศรษฐกิจเกิดสภาวะชะงักงัน การใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายไม่ว่าตำรวจ ทหาร หรือพลเรือนไม่สามารถกระทำได้ตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย

การดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2558 มีข้อติดขัดทางกฎหมาย มีทั้งทำได้ และทำไม่ได้ในบางเรื่อง ขณะนั้นไม่มีทางออกหรือแนวโน้มว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยได้อย่างไร ซึ่งนับเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงและไม่เคยปรากฏขึ้นในประเทศมาก่อน

เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงเวลาสี่ปีเศษที่ผ่านมาก็ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์จนกลับฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ บ้านเมืองมีความสงบสุข อยู่รอดปลอดภัย ประชาชนดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ประเทศมีการพัฒนาขึ้นตามลำดับในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าขาย การลงทุน การท่องเที่ยว มีความมั่นคงทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศ

ไม่มีการชุมนุมประท้วงทางการเมืองหรือความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีเอกภาพจนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศว่าสามารถแก้ไขปัญหาหมักหมมของประเทศที่การเมืองปกติไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเนื่องจากระยะเวลาการบริหารประเทศของแต่ละรัฐบาลที่สั้นและไม่ต่อเนื่อง ซ้ำยังมีการเกิดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ในสังคมอยู่เป็นระยะ

พี่น้องประชาชนที่รัก ประเทศชาติของเราจะต้องเดินไปข้างหน้า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ได้กำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นแนวทางและทิศทางของประเทศต่อไปในอนาคต เพื่อลูกหลานของเรา เพื่อเด็กๆ ในวันนี้จะได้มีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า อยู่ในประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีความสงบสุขมั่นคง

จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราประชาชนทุกภาคส่วน จะต้องร่วมกันนำพาประเทศในช่วงเปลี่ยนแปลงอันสำคัญนี้ไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้ ที่สำคัญจะต้องมีรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับ ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

“ผมขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่ได้ให้เกียรติเชิญผมเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ผมได้พิจารณาไตร่ตรอง และทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว ในเรื่องนโยบายของพรรคว่าจะสามารถขยายผลสืบเนื่องสิ่งต่างๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการ หรือวางแนวทาง หรือริเริ่มไว้ได้หรือไม่”

“อีกทั้งพิจารณาหลายๆ มิติที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องนโยบายและมาตรการด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การดูแลพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ความต่อเนื่องในการบริหารและพัฒนาประเทศ ในห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังที่กล่าวข้างต้น รวมทั้งพิจารณาภาพรวมของพรรคซึ่งประกอบด้วยสมาชิกหลากหลาย เช่น ตัวแทนภาคประชาชนทั้งคนรุ่นใหม่ นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนนักการเมืองที่มีประสบการณ์ ถึงแม้บางคนเคยเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม และพิจารณาโอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ”

“การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายนักเพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของประเทศ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะเป็นทหารมาตลอดชีวิต แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และผมมีความมั่นใจ ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะสามารถร่วมมือร่วมใจกับพี่น้องประชาชน นำพาประเทศของเราก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างมีความสงบสุข มีความสามัคคี ไม่มีความขัดแย้งในสังคมอีกต่อไป”

“ดังนั้น ผมจึงขอตอบรับการเชิญโดยยินยอมให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้มุ่งหวังจะสืบทอดอำนาจใด ๆ เพียงแต่มุ่งหวังถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวมเป็นสำคัญอย่างแท้จริง โดยจะเร่งบริหารและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป”

“อย่างไรก็ตาม ผมมีความคาดหวังว่าในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เราจะได้รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล ไม่มีการใช้วัฒนธรรมการเมืองเดิมๆ ที่มีการต่อรองผลประโยชน์หรือตำแหน่งเพื่อกลุ่มของตนเอง เพื่อให้ได้คนดี มีความสามารถมาบริหารราชการ”

“โดยทุกคนต้องเสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ทั้งนี้ผมพร้อมจะร่วมมือทำงานกับทุกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” ขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง และขอให้ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังภายใต้กฎหมาย และกติกาที่กำหนด สร้างมิตร สร้างความสามัคคี มุ่งทำบ้านเมืองให้เกิดสันติสุขเจริญรุ่งเรืองต่อไปอย่างยั่งยืน”

เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน สร้างความสามัคคีให้คนในชาติ จุดหมาย ใจความ ในการตอบรับแคนดิเดตนายกฯ  2 ครั้ง ของ พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนจะ Copy – paste.