ประยุทธ์ ประกาศสมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

ประยุทธ์สมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
(Photo by Jack TAYLOR / POOL / AFP)

ประยุทธ์ประกาศจุดยืนทางการเมือง จ่อสมัครสมาชิก-รับเทียบเชิญแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ แจงยิบลงพื้นที่หาเสียง หาประโยชน์ให้พรรคการเมือง ขอบคุณพลังประชารัฐเคยสนับสนุน

วันที่ 23 ธันวาคม 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ประกาศจุดยืนทางการเมืองชัดเจนแล้วว่า จะสมัครเป็นสมาชิกและเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่เคยสนับสนุนเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมกับยืนยันว่าความสัมพันธ์กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนได้กล่าวกับ พล.อ.ประวิตรไปนานแล้วหลายครั้งว่า ตนอาจจะมีความจำเป็น จนครั้งสุดท้ายก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีความขัดแย้งอะไรทั้งสิ้น เรื่องการเมืองก็ว่ากันไป ในระบอบประชาธิปไตยก็ว่าไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือว่าจากกันกับ พล.อ.ประวัติด้วยดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ได้จากกันไปไหน ยังพูดคุยกันอยู่เหมือนเดิม อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับทหารด้วยกันมันลึกซึ้งกว่า เพราะว่าเราจบโรงเรียนนายร้อยฯมา พล.อ.ประวิตรก็เป็นผู้บังคับบัญชาตนครั้งแรก รับราชการตั้งแต่ติดยศร้อยตรี อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต รับราชการมาจนถึงวันนี้ ความผูกพันตรงนี้ไม่มีใครลบล้างตนได้ พล.อ.ประวิตรก็รู้สึกเหมือนกัน แต่ พล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้ว่าอะไร

เมื่อถามว่าจะสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็น่าจะสมัครมั้ง”

เมื่อถามย้ำว่าจะสมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “อย่าเพิ่งถามสิ”

เมื่อถามว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติคนเดียวหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “คนเดียวมั้ง”

เมื่อถามว่าจะเป็นกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ยังไม่คิดตรงนั้น”

เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกเพียง 2 ปี และพรรคการเมืองที่เป็นพรรคพันธมิตรกับพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม และกล่าวว่า “อย่างพึ่งไปถามถึงตอนนั้นเลย ถามนี่ไปโน่น ถามไปเรื่อย ผมจะตอบได้ยังไงเล่า”

เมื่อถามว่า ในทางการเมืองยังคงจับมือกับ พล.อ.ประวิตรอยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง ประชาชนจะเลือกใครเข้ามากก็ยังไม่รู้เลย ถึงเวลานั้นก็ ภาษาทางการเมืองเขาเรียกว่า จับขั้วทางการเมืองใช่ไหมเล่า ใครจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ถ้าคะแนนเสียงรวมกันได้ มากกว่าก็เป็นฝ่ายรัฐบาลเหมือนครั้งที่แล้ว

เมื่อถามว่า วันนี้ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ประกาศในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนกลับมาว่า “ยังไม่ชัดเหรอ”

เมื่อถามว่าครอบครัวสนับสนุนเต็มที่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เข้าใจว่าตนทำเพื่ออะไร”

เมื่อถามว่า เป็นความท้าทายหรือไม่ที่มาทำพรรคเอง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขามีหัวหน้าพรรค (รวมไทยสร้างชาติ) อยู่แล้วนี่ หัวหน้าพรรคเขาทำของเขาอยู่

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องคุยกันว่าสิ่งใดที่รัฐบาลนี้ได้ทำไว้ก็คงต้องมีการสานต่อสู่อนาคต อย่างมั่นคง อย่างยั่งยืน ไม่ใช่ผิวเผิน หรือให้เป็นนโยบายที่จับต้องไม่ได้ ถ้าประกาศว่าจะทำโน่นทำนี่ ทำได้จริงหรือเปล่า ใช่ไหม ถ้าจะให้นี่ให้โน่น จะมีเงินจากที่ไหน หาเงินได้ยังไง ซึ่งผมพยายามทำเรื่องนี้มาโดยตลอด ตลอดมา ทั้ง 4 ปีแรก และ 4 ปีหลัง ผมก็พยายามหารายได้เข้าประเทศ เพราะเรารู้อยู่ต้องดูแลประชาชนให้ได้มากยิ่งขึ้น ก็ต้องมีกติกาพอสมควร ไม่ให้เกิดภาระ

ที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณอย่างระมัดระวังที่สุด โชคไม่ดีที่เราไปเจอโควิดด้วย เจอวิกฤตสงครามด้วย ได้รับผลกระทบไปทั้งหมด เราก็พยายามบริหารให้ดีที่สุด ขอให้พวกเราอย่าท้อแท้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่าขัดแย้งกัน ถ้าเราเอาชนะคะคานกัน ทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน มันก็กลับที่เดิมหมดแหละ

“ผมยืนยันว่า ผมพยายามทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยมากที่สุด ให้ดีที่สุด ผมทำคนเดียวไม่ได้ ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วน ต้องมีหลักคิดว่าจะทำยังไง จะเลือกใคร จะเลือกได้ยังไง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกพรรคการเมือง การเลือก ส.ส. ก็ต้องมองดูว่าจะได้ใครเป็นนายกฯ ท้ายที่สุดมันอยู่ตรงนั้น บอกแล้วว่า เลือกตั้งมาแล้วท้ายที่สุดก็ต้องมารวมคะแนนกัน รวมเสียงกัน ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล แล้วก็เสนอชื่อคนที่เป็นนายกฯ เป็นเรื่องของอนาคต ไม่มีอะไรแน่นอน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญที่สุด ต้องคิดกัน ไตร่ตรองกันให้รอบคอบ มีเหตุมีผล มีหลักคิด ถ้าสมมุติว่าอยากได้โน่นนี่ แต่เกินขีดความสามารถของรัฐบาล เกินขีดความสามารถในการใช้งบประมาณก็จะเดือดร้อน ประเทศชาติก็จะเสียหาย คิดให้ได้ เพราะมีประโยชน์โดยรวม ประโยชน์ของแต่ละกลุ่ม แต่ละอาชีพ เราต้องเฉลี่ยการใช้จ่ายเงินที่ดี นายกฯใช้หลักการนี้บริหารมาโดยตลอด หลายอย่างก็ดีขึ้น หลายอย่างก็เจอปัญหา ประสบปัญหา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยรอบ

“วันนี้จำเป็นต้องพูดวันนี้ เพราะเกรงว่า ถ้าไม่พูดก็จะไปกันเรื่อย วิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อย ผมก็ตัดสินใจแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนผมเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นศัตรูกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่าอนาคตทางการเมืองของตัวเองชัดเจนแล้ว และในส่วนของรัฐบาลจะยุบสภาเมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เคยบอกไปแล้วว่า วันนี้ยังมีหลายอย่าง หลายปัญหาที่ยังดำเนินการอยู่ เพราะฉะนั้นก็ดูจังหวะเวลาแล้วกัน ยังไงก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย กกต. การย้ายพรรคก็ต้องดู ไม่ให้มีปัญหา ก็คงต้องหารือกับพรรคใหม่ด้วย รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลด้วย

เมื่อถามว่า สนามเลือกตั้งครั้งหน้าถือว่าเป็นงานหนักหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า งานหลักของตนคือ ดูแลชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน คือ หน้าที่ตนในการยืนอยู่ตรงนี้ ตนเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า เข้ามาเพราะเหตุผลอะไร มีความจำเป็นคืออะไร ทุกคนก็ทราบ แต่ลืมไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็มีคนมาพูดจาเสียหาย มาตำหนิตนเรื่องโน้น เรื่องนี้ ลืมไปหมดแล้วว่าท่านทำเสียหายอะไรไว้บ้าง และตนเข้ามาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ๆ แต่มันก็ยังมีปัญหาอยู่ ถ้าเราใช้อะไรเด็ดขาดก็ลำบากเหมือนกัน

“สิ่งที่สำคัญในวันนี้ มากกว่าการเลือกตั้งก็คือ ทำยังไงให้ประชาชนของเรามีความรัก ความสามัคคี นายกฯให้ความสำคัญเรื่องนี้มาโดยตลอด เช่น ในสถานศึกษา การบูลลี่ การบิดเบือนต่าง ๆ ต้องไปดูว่า ใครเป็นคนทำ มาจากไหน ต้นตอมาจากใคร ใครเริ่มต้น ครูมีหน้าที่ทำให้ผ้าขาวผืนนี้เป็นผ้าขาวบริสุทธิ์ เพราะเด็กเหล่านี้บริสุทธิ์ ความต้านทานอาจจะน้อย เชื่อง่าย ต้องสอนคนให้มีหลักคิดตั้งแต่เด็ก ครูมีบทบาทสำคัญ ผมขอร้อง หยุดกันเถอะครับ คนคิดอย่างผมมีเยอะ แต่ไม่กล้าพูดออกมา กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยทุธ์กล่าวว่า วันนี้อยากจะฝากไว้ด้วยว่า กรุณาทำความเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจด้วยว่า ทั้งหมดถ้าท่านได้รัฐบาล ตนไม่ได้หมายความถึงตน ขอให้ได้รัฐบาลที่ดี ๆ ที่ซื่อสัตย์สุจริต ทำในสิ่งที่เป็นไปได้ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในส่วนที่มีคดีความอะไรต่าง ๆ ก็ว่ากันไป ทุกอย่างต้องทำอย่างสุจริต โปร่งใส เป็นธรรม ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ โดยเฉพาะสำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ ตนไม่อยากให้มาเดือดร้อนด้วย การใช้จ่ายงบประมาณต้องระมัดระวังอย่างที่สุด การจะให้อะไรต่าง ๆ ต้องคำนึงถึงงบประมาณ เป็นส่วนสำคัญที่สุด ว่า จะเอางบประมาณมาจากไหน ไม่ใช่ตนไม่อยากให้ แต่ให้แล้วจะพอไหม ต้องใช้เงินเท่าไหร่

“หลายคนบอกว่า ทำไมจะรวยเท่ากันไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ในโลกใบนี้ อยู่ที่เราจะพัฒนาได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่รัฐบาลหน้า ใครเป็นก็ตามน่าจะต้องทำแบบนี้ ไม่สร้างภาระ การที่รัฐบาลกู้เงินมา รัฐบาลอยากกู้ไหม ก็เงินไม่พอ เงินไม่มี แล้วกู้มาทำอะไรล่ะ ทั้งหมดกู้มาทำอะไร ดูแลเรื่องรักษาพยาบาล เรื่องวัคซีน ดูแลภาคธุรกิจเป็นกลุ่ม ๆ มากบ้างน้อยบ้าง ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่ให้ธุรกิจล้ม ดูแลแรงงาน คือ เงินที่ใช้ไป ผมไม่ได้ใช้ส่วนตัวสักกะบาท” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่อยากให้ฟังและวิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยเปื่อย ทุกเรื่องเลย เห็นใจประเทศของเราเองบ้าง ถ้าเราแตกแยกกันอยู่อย่างนี้ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย วันนี้ผมจำเป็นต้องพูด เพราะดูแล้วมันแรงขึ้นทุกวัน เราต้องลดระดับตรงนี้ ลดอุณหภูมิตรงนี้ลงให้มากที่สุด เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ ได้ ส.ส.ที่ดี ๆ เข้ามา ก็จะฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลได้ แล้วก็จะได้นายกฯ ที่ท่านต้องการ

“ผมไม่ได้ยืนยันว่าต้องเป็นผมตลอดไปสักเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือก เพียงแต่วันนี้ไม่อยากให้โจมตีกันไปกันมาจนเสียหาย ผมก็รักษามารยาทเต็มที่กับทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ เพราะเสนอผมครั้งที่แล้ว วันนี้ เขาเปิดตัวอะไรกันแล้ว ผมก็จำเป็นต้องพูดวันนี้ เพื่อที่จะเลิกสับสนอลม่านสักที เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง”


“ช่วงนี้ขออย่างเดียวขอให้บ้านเมืองสงบ วันนี้เลือกตั้งได้ แต่ต้องให้เวลาคนได้มีเวลาคิด สร้างสรรค์ในสิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งที่ควรจะเป็น นี่คือปัญหาอย่างเดียวของเรา เรามีความพร้อมทุกอย่าง ถ้าเรานำพาประเทศไปในทางถูกต้อง ดีงาม สุจริตโปร่งใส ประเทศไทยไม่น้อยหน้าใครทั้งสิ้น หลายอย่างเราปรับแก้ไปแล้ว กรุณาให้ความสนใจด้วย แต่ยังมีอีกเยอะต้องทำต่อ ถ้าผมไม่อยู่ก็ต้องฝากคนใหม่ทำไป ขึ้นอยู่กับท่านจะทำหรือไม่ทำ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว