2 ป. เกมลับ กลับทำเนียบ

ประยุทธ์ ประวิตร
คอลัมน์ : สามัญสำนึก
ผู้เขียน : อิศรินทร์ หนูเมือง

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.สูตรหาร 100 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ทุกพรรคการเมืองจึงต้องไปกำหนดยุทธศาสตร์เลือกตั้งท่ามกลางความได้-เสีย ส.ส. ที่จะมีการช่วงชิงกันอย่างดุเดือดกว่าทุกครั้ง

เมื่อผู้อยู่เบื้องหลัง 3 ป. สับเปลี่ยนกำลัง ต้องการชนะเลือกตั้ง ได้จัดรัฐบาล กลับทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง จึงต้องย้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปสวมหัวอื่น แบบลอยเด่นเหนือสมาชิกทั้งปวง

คำถามที่ผู้ปล่อยข่าว-เพื่อหาข่าว ตอบไม่ได้คือ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องรีบสมัครสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ในเวลานี้ ทั้ง ๆ ที่วางตัวลอยอยู่เหนือการเมืองมาแล้ว 8 ปี โดยไม่เคยต้องเป็นสมาชิกพรรคใด ๆ

ความน่าจะเป็น จึงมีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไปสวมหัวพรรคใหม่ แต่ยังไม่รีบยุบสภา จนกว่าจะได้เปรียบทุกประตู

ขณะที่บรรดาพรรคใหญ่ หลายพรรค ยังตกอยู่ในสภาพ “หัวขาด”

หลายพรรค รอจนกว่าใกล้วันที่ต้องส่งผู้สมัครเลือกตั้งมากที่สุด จึงจะประกาศตัว

อย่างน้อยพรรคเพื่อไทย ก็ต้องรอการเคลียร์บัญชีหุ้น-การเงิน และทรัพย์สิน ในความครอบครองของซีอีโอ-นักธุรกิจอสังหาฯ ว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

อย่างน้อยพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่ได้ฟันธงชัดเจนว่าจะชู พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว แต่ซ่อนชื่อนักธุรกิจขาใหญ่ไว้ 1 ราย เปิดชื่อวันไหน อาจหงายหลังทั้งวงการธุรกิจการเมือง

ส่วนพรรค 2 ส. ระหว่าง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แห่งไทยสร้างไทย กับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สร้างอนาคตไทย ยังเจรจายืดเยื้อ-พรรคปริแตก ยังไม่ชัดว่าจะบรรจุใครไว้ใน “แคนดิเดตนายกฯ” ท่ามกลางข่าวย้ายพรรคอีกระลอก

ทั้ง “สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า และแกนนำพรรคการเมืองใหญ่หลายพรรค อัพเดตคาดการณ์ตัวเลข ส.ส.ที่คาดว่าจะได้ไว้ ณ ห้วงเวลา 180 วันก่อนสภาจะหมดวาระ ไว้ดังนี้

พรรคพลังประชารัฐ ถ้าไม่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จะได้ ส.ส. ประมาณ 40 เสียง โดยเลือกปักหมุดตามแกนนำที่เหลืออยู่ เฉพาะเหนือ อีสาน

และถ้าหัวไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ และมีนักธุรกิจรายหนึ่งเข้ามาเอี่ยว มีแนวโน้มที่จะเลี้ยวไปดึงเพื่อไทยเข้าร่วมหัวจมท้าย

เมื่อ 2 ป.แยกกันเดินร่วมกันตี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยการเชื่อมต่อของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกฯ เป็นหัวหน้าพรรค หวังเปิดชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น “หัว” เปิดรับท่อน้ำเลี้ยงเต็มที่ เรียกเนื้อ เรียกปลา ส.ส.ไหลมา-เทมา

คาดหมายกันว่า รวมไทยสร้างชาติ หากแยกขาดออกมาจาก พล.อ.ประวิตร จะต้องทำแต้มให้ได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 80 ที่ จากแกนนำที่ย้ายไปปักหลักทำพื้นที่ ภาคตะวันออก ภาคกลาง กทม.และภาคใต้

หาก 2 พรรค 2 ป. ต้องการกลับทำเนียบ ต้องอาศัยเสียงจากพรรคที่คาดว่าจะได้ ส.ส.มากที่สุดในขั้วรัฐบาลเดิม คือ ภูมิใจไทย (ภท.) ที่ตั้งเพดานไว้ไม่ต่ำกว่า 90 เสียง บวกกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ต้องเบ่ง ส.ส.ให้ได้ 120 เสียง 3 พรรคต้องมีในมือ เกิน 210 เสียง ที่เหลือพึ่งบารมี ส.ว.โหวตรวบเข้าป้ายนายกรัฐมนตรี กลับสู่เก้าอี้หมายเลข 1 ที่ทำเนียบรัฐบาล

ส่วนประชาธิปัตย์ ถูกดูด-ดึงจากขั้วเดียวกัน จนสุ่มเสี่ยงที่ได้ ส.ส.กลับเข้าสภาต่ำกว่า-หรือเพิ่มขึ้นจาก 53 เสียง

เกมยึดอำนาจด้วยการเลือกตั้ง จึงต้องลาก ส.ว. 250 เสียง เข้าร่วมสังฆกรรม มัดรวมโหวตนายกรัฐมนตรี

นักการเมืองขาใหญ่ดีดลูกคิดกันว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ ได้ 200-210 เสียง จาก ส.ส.เขต 180 คน บวก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 20 เสียง บวก-ลบ 10 เสียง

แนวโน้มในอนาคตของพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งสูตรหาร 100 ตัวเลขที่เป็นไปได้ ไม่มีทางถึง 80 เสียง ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือ ไม่มีโรดแมปที่จะได้เข้าเส้นชัยในการร่วมรัฐบาล

เสียงจากแกนนำเพื่อไทย ก้องกระจายไปทั่วหัวถนนการเมือง ว่า หากนำก้าวไกลเข้าร่วม ต้องเผชิญหน้าปัจจัยเสี่ยงไม่น้อยกว่า 2 ข้อ ที่แหลมคม ที่จะทำให้รัฐบาลล่มตั้งแต่จับมือกันวันแรก ๆ

เมื่อเกมนับถอยหลัง ระฆังการเมืองดังขึ้น ที่เคยอยู่ขั้วเดียวกัน ก็ฟาดกันไม่ยั้ง ทั้งใต้ดิน-บนดิน