“ประยุทธ์” คุมจังหวะการเมือง พปชร.แพแตก-รวมไทยสร้างชาติ แจ้งเกิด

ตู่-ป้อม
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

หลังจากหมอกลงจัด ปกคลุมหลังคาทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้อีกเพียง 2 ปี หลังเอเปคทิศทางการเมืองพร่ามัวจะแจ่มชัด

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 “บุคคลวี.ไอ.พี.” ที่คาดเดากันว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะมาสมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังคงต้องรอคำปลดเปลื้องจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ

ลุ้น ส.ส.ทะลุขั้นต่ำ 25 ที่นั่ง

พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เคยขอถอนคำว่า “ยังอยู่พรรคพลังประชารัฐ” จึงทำให้คำเทียบเชิญจาก “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกฯ-หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ไปไม่ถึงโต๊ะทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า

ตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ราคาค่างวด “ขั้นต่ำ” อยู่ที่ ส.ส. 25 ที่นั่ง พรรครวมไทยสร้างชาติ การันตี ด้วยการขยับไปทั่วภูมิภาค-ทุกหัวระแหง

ไม่ใช่เฉพาะการพับสนามบุกในพื้นที่เป้าหมาย-ปักธงพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น

พรรคการเมืองใดที่มี “พล.อ.ประยุทธ์” ไปขึ้นป้ายหาเสียงคู่อยู่ด้วย ย่อมเพิ่มยอด ส.ส.ให้กับพรรคการเมืองนั้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ไม่นับรวมถึง ส.ส.ปัจจุบันในพรรคเพื่อน เตรียมเก็บสัมภาระมาอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะอยู่ในพื้นที่รัศมีที่มี “กระแสลุงตู่” เป็นภัยคุกคาม

ส.ส.ปักษ์ใต้ พรรครัฐบาลที่อยู่กับพรรคเก่า-พรรคใหม่ วิเคราะห์ว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ จะทำให้มีจำนวน ส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้มากกว่าทุกพรรค

ได้ ส.ส.เกิน 20 ที่นั่ง แต่ถ้าหากไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ อาจได้ ส.ส. “ต่ำสิบ”

โดยเฉพาะจะมี ส.ส.หน้าใหม่-สมัยแรกแจ้งเกิดหลัก 10 คน เมื่อมีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ การันตีแคนดิเดตนายกฯ

จุดขาย ปลดล็อก กม.เศรษฐกิจ

คีย์แมนหลังบ้านของพรรครวมไทยสร้างชาติที่ขอปกปิดรูป-นาม บอกว่า จัดวางว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจำนวนหลักเกิน 100 คน โดยตั้งเป้าหมายอยากจะส่งให้ครบ 400 เขต

ทำให้ดีที่สุดในทุกพื้นที่ สู้ทุกภูมิภาค ทั้งภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร

ส่วนจุดขาย-จุดแข็งของพรรครวมไทยสร้างชาติคือ การสังคายนากฎหมาย-กติกา นำไปสู่การปลดล็อกปัญหาเช่น เศรษฐกิจ ขณะที่นโยบายจะเน้นรับฟังความต้องการของประชาชนในพื้นที่

“วิธีการบริหารจัดการของพรรครวมไทยสร้างชาติ เริ่มจากสร้างพรรคจากคน สรรหาตัวผู้สมัคร ส.ส.ที่ประชาชนถูกใจ สามารถพึ่งพาได้ สร้างทีมงานเครือข่ายที่แข็งแรงทุกพื้นที่”

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ “ต้องรอดู”

ไม่แน่ว่าโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติอาจจะชูแคมเปญ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้

เหตุผล “ประยุทธ์” ย้ายพรรค

ส.ส.พลังประชารัฐสายตรงตึกไทยคู่ฟ้า มีเหตุผลที่ “เป็นไปได้” ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจออกจากท่าเทียบเรือพลังประชารัฐ ไปขึ้นท่าใหม่พรรครวมไทยสร้างชาติ

“พรรคพลังประชารัฐขณะนี้บอบช้ำทางการเมืองเป็นอย่างมาก มีปัญหามาโดยตลอด ดังนั้น การเลือกตั้งในครั้งหน้า พล.อ.ประยุทธ์ต้องลุยพื้นที่หาเสียงและกำหนดนโยบายเอง”

เพราะโจทย์การเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่เหมือนกับการเลือกตั้งเมื่อปี’62 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ เกือบจะวินาทีสุดท้ายก็ชนะเลือกตั้ง

คลังสมองตึกไทยคู่ฟ้าไม่ขอขยายความเหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ทิ้งพรรคพลังประชารัฐไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติสั้น ๆ ว่า “ถ้า พล.อ.ประวิตรยังเดินการเมืองแบบเดิม”

ส.ส.ใต้ พลังประชารัฐหักครึ่ง

“วิรัช รัตนเศรษฐ” หนึ่งในหัวเรือใหญ่พลังประชารัฐ ยอมรับว่าหากจำเป็นต้องเลือกระหว่างลุงตู่กับลุงป้อม จะไม่ไปไหน เพราะในใจมีแต่ พล.อ.ประวิตร ก่อนกลอนจะพาไปว่า “ชีวิตนี้รักใครไม่ได้แล้ว ไม่ผ่องแผ้วมืดมิดไม่คิดหนี”

สวนทาง “สุชาติ ชมกลิ่น” แห่งบ้านใหญ่ชลบุรี ไม่เคยเปลี่ยนใจเมื่อถูกถามว่าจะอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร

แกนนำ ส.ส.ภาคใต้ พลังประชารัฐ ซาวเสียงแล้วว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ย้ายไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติจริง ส.ส.ภาคใต้ 7 คน จากทั้งหมด 14 คนจะไปอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ อีก 7 คนยังอยู่กับ พล.อ.ประวิตร

ส่วน “กรุงศรีวิไล สุทินเผือก” ส.ส.สมุทรปราการ แม้ยืนยันจะยืนเป็นป้อมปราการให้กับพรรคพลังประชารัฐ แต่คนที่ออกเสียงชี้ขาด “แล้วแต่ลูกพี่เอ๋ (นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม) ไม่รู้จะโกหกไปทําไม เราไม่มีลูกเล่น”

ใครจะไปกับ “ลุงตู่” ยกมือขึ้น

ผลเลือกตั้งเดิมพัน ปชป.

แม้ว่าที่สุดแล้วยังไม่มีพยานหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ว่า 3 ป. วงแตกจริงหรือไม่ แต่ภาพในงานแต่งงานของลูกเจ้าสัวถูกพูดถึงในวงธุรกิจ ชนชั้นสูง ปากต่อปากว่า 3 ป.นั่งห่างเหิน อยู่กันคนละโต๊ะ

แต่แค่นั้น ยิ่งจะทำให้การเมืองหลังเอเปค ส่อเค้าวงแตกค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในพรรคประชาธิปัตย์ที่เลือดไหล ไม่หยุด ไหลไปพรรครวมไทยสร้างชาติ

โดยเฉพาะขุนพลภาคใต้ ที่ทยอยออกทีละรายไปเรื่อย ๆ สนามเลือกตั้งที่เคยมีจุดแข็ง-จุดขาย กลายเป็นจุดอ่อน จนถูกคู่แข่งการเมืองเจาะหลังบ้านทะลุถึงหน้าบ้าน

เมื่อปลาในบ่อประชาธิปัตย์ถูกตกไปอยู่ในบ่อรวมไทยสร้างชาติ ทีละตัวสองตัว แหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนามในพรรคประชาธิปัตย์ ฉายภาพของพรรคเก่าแก่ว่า ขณะนี้ภาพของหัวหน้าพรรคไม่มีจุดขายทางการเมือง รอเพียงเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง

และเลือกจับมือกับกลุ่มอำนาจเดิม เพื่อกลับมาเป็นรัฐบาล เมื่อยังขายแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส.มากกว่าเดิม มีแต่ “เท่าทุน” คือ 52 เสียง

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ประคองตัวในสภาพนี้ไปถึงการเลือกตั้ง จะถึงจุดที่พรรคได้ต่ำกว่า 52 เสียง แน่นอนว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค จะต้องยุติบทบาทลงจากตำแหน่ง

เมื่อ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์สละไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ตามที่ตั้งเป้าหมาย 25 ที่นั่ง เพราะขอแค่มีเสียงพอที่จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของตัวเองในสภาผู้แทนราษฎรก็พอ

พล.อ.ประยุทธ์จึงยังไม่ถึงเวลาที่ต้อง “แสดงตัว” หากดูท่าทีแล้วพรรครวมไทยสร้างชาติยังไม่อยู่ในระดับที่ไปแล้วชนะ

พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีเวลา มีไพ่ในมือหลายใบ ให้เลือกเล่น รวมไทยสร้างชาติ อาจจะประสบชะตาเดียวกับ “ไทยสร้างสรรค์” ของอดีตแกนนำ กปปส.บางรายที่เคยถูก “ให้ความหวังแล้วจากไป”

จะยุบสภา หรืออยู่ครบเทอม ไม่มีใครรู้

คนที่กำหนดเกมเป็นคนที่มี “เวลา” อยู่ในมือ คือ พล.อ.ประยุทธ์เพียงผู้เดียว