ปิยบุตร คาดพรรคก้าวไกล ได้ ส.ส. 30 คน เลือกตั้ง 66 ต้องโหนร่วมรัฐบาลเพื่อไทย

ปิยบุตร แสงกนกกุล
ปิยบุตร แสงกนกกุล

อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เขียนบทวิเคราะห์ เรื่อง “แลนด์สไลด์” ที่พรรคก้าวไกลแก้ไม่ออก คาดก้าวไกลตรึงคะแนนน้ำเต็มแก้ว ได้ ส.ส. 30 คน

นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เขียนบทความ ระบุว่าประชาชนจำนวนมากต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หากสังเกตจากผลการสำรวจความคิดเห็น หรือการรับรู้พูดคุยในกลุ่มแวดวงต่าง ๆ เชื่อได้ว่าร้อยละ 60 อยากเปลี่ยนรัฐบาล และจะใช้การเลือกตั้งในปี 2566 นี้เป็นเครื่องมือสำคัญ

การรณรงค์ให้ลงคะแนนแบบยุทธศาสตร์เพื่อให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ กำลังเป็นที่แพร่หลายและได้การยอมรับไปทั่ว

หากดูผลสำรวจความคิดเห็น ก็จะพบว่า คะแนนของพรรคเพื่อไทยและคุณแพทองธารสูงมาก ทั้งในภาพรวมทั่วประเทศ และในทุกพื้นที่ แม้กระทั่งภาคใต้

สำหรับพรรคก้าวไกลเอง คะแนนนิยมอยู่นิ่งอยู่กับที่มาปีเศษแล้ว ผู้อำนวยการนิด้าโพลได้วิเคราะห์ไว้ในรายการหนึ่งว่า คะแนนของพรรคก้าวไกลเป็น “น้ำเต็มแก้ว” ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ใด เวลาผ่านไปนานเท่าไร คะแนนก็จะอยู่เท่านี้

เรียกได้ว่าคะแนนจากผลสำรวจที่พรรคก้าวไกลได้รับนั้นคือ “แฟนพันธุ์แท้”

หากพรรคก้าวไกลต้องการคะแนนมากกว่านี้ ต้องการมี ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้มากกว่านี้ จำเป็นต้องแสวงหาคะแนนจากกลุ่มผู้ที่ไม่ตัดสินใจ หรือกลุ่มที่ตัดสินใจเลือกพรรคอื่น

จะได้คะแนนส่วนนี้เพิ่มมาได้ พรรคก้าวไกลต้องแก้ปมปัญหาเรื่อง “แลนด์สไลด์”

คนจำนวนมากที่เป็น “แฟนพันธุ์แท้” พรรคเพื่อไทย ย่อมลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ

แต่มีคนอีกจำนวนมากที่รักเพื่อไทย แต่ก็เห็นประโยชน์ของการมีพรรคแบบก้าวไกล

คนจำนวนมากที่รักทั้งสองพรรค

คนจำนวนมากที่เห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำ แต่คิดว่าเป็นการต่อสู้ระยะยาว

หรือคนจำนวนมากชอบพรรคก้าวไกล แต่ไม่คิดว่าจะชนะได้ในเขตเลือกตั้ง ไม่คิดว่าจะชนะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้

คนเหล่านี้อาจเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และแบ่งมาลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกล

ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากความคิดเรื่อง “แลนด์สไลด์”

ด้วยระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400 บ้ญชี 100 ทำให้คะแนนแบบแบ่งเขตของผู้ที่ไม่ได้ลำดับที่ 1 ถูกทิ้งน้ำไปหมด ไม่เหมือนตอนปี’62 ที่ยังนำมาคำนวณเป็น ส.ส.ทั่วประเทศ

และด้วยความคิดที่ว่า หากเพื่อไทยกับก้าวไกลแข่งกันเองในเขตเลือกตั้ง อาจทำให้แพ้ทั้งคู่ จนพรรคประยุทธ์ หรือพรรคอื่นที่อยู่อีกขั้วชนะไป ดังปรากฏให้เห็นหลายเขตในการเลือกตั้งปี’62

ประกอบกับ “สวิตช์ ส.ว. 250” คนยังทำงานออกฤทธิ์ได้อีก

ทั้งหมดนี้ทำให้ประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาลเลือกที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยสองใบ หรือเลือกพรรคเพื่อไทยในแบบเขต เลือกพรรคก้าวไกลแบบบัญชีรายชื่อ

หากสถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ยังเป็นเช่นนี้ ไปจนถึงวันลงคะแนน พรรคก้าวไกลก็จะได้ ส.ส.เขตน้อยมาก และได้ “ส่วนแบ่ง” จากบัญชีรายชื่อมา รวมยอด ส.ส.ทั้งหมดคงไปไม่เกิน 30

หากพรรคก้าวไกลไม่คิดอะไรมาก ได้เท่าไร ก็เท่านั้น รอบนี้ขอ “เกาะพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล” ไว้ก่อน พรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องแก้ไขอะไร ไม่ต้องคิดยุทธวิธีใหม่ ประคองตัวไปจนจบเลือกตั้ง และถ้าไม่มีสัญญาณแปลก ๆ ใดมาขัดขวาง หรือรวมเสียงฝ่ายค้านเดิมเพียงพอ “พี่ใหญ่” ก็อาจเมตตาชวน “น้องเล็ก” ไปร่วมรัฐบาล แบ่ง รมต.ให้สัก 2-3 ที่

แต่ถ้าพรรคก้าวไกลยังคงต้องการเสียงมากกว่านี้ จำนวน ส.ส.มากกว่านี้ พิสูจน์ตนเองว่าแนวคิดแนวทางที่ทำกันมาตั้งแต่อนาคตใหม่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนเห็นด้วยมาก พรรคก้าวไกลก็ต้องคิดแก้ปมปัญหา “แลนด์สไลด์” ให้ได้

หนึ่ง ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสชนะในเขตเลือกตั้งสูง ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจะเข้าที่ 1 ไม่ใช่เข้าที่ 2 หรือที่ 3

หากทำให้คนจำนวนมากเชื่อได้ คนก็จะมาเลือก เพราะคะแนนนี้ไม่ทิ้งน้ำ ไม่เปล่าประโยชน์ แต่จะทำให้พรรคก้าวไกลชนะ ส.ส.เขต

สอง ขีดเส้นแบ่งใหม่ ไม่ใช่ “ฝ่าย non ประยุทธ์” vs “ฝ่ายประยุทธ์” ไม่ใช่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” vs “ฝ่ายเผด็จการ” แบบเดิม ๆ

แต่เป็นการสู้กันระหว่าง “พลังเก่า” vs “พลังใหม่” และพรรคก้าวไกลคือตัวแทนของพลังใหม่

สร้างความแตกต่างของตนเองออกจากทุกพรรค ทุกขั้ว พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเทคะแนนให้พลังใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลง

ให้คนจำนวนมากตระหนักว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ คือความใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ในอนาคต มิใช่วนเวียนอยู่กับเรื่องเอาทักษิณ ไม่เอาทักษิณ เอาประยุทธ์ ไม่เอาประยุทธ์ วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิม ๆ ที่ล้อมสังคมไทย กักขังสังคมไทยไว้ตั้งแต่ 49 ไม่ให้ไปไหน

หากเลือกเส้นทางนี้ การทำแคมเปญ กำหนดยุทธวิธี การคิดคำ ประดิษฐ์คำ ทำม็อตโต้ ชูคำขวัญ ให้เดินตามสองข้อข้างต้น คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคณะทำงาน

แต่การเมืองอยู่ที่ความเชื่อ

ผู้คนจำนวนมากต้องเชื่อก่อนว่าจริง เราทำได้จริง

ต่อให้คิดค้นแคมเปญได้ดีเลิศขนาดไหน แต่ถ้าคนไม่เชื่อ แคมเปญนั้นก็เป็นเพียงบันทึกเก็บไว้ใน portfolio

ปัญหาจึงมีอยู่ว่า…

ผู้นำพรรคก้าวไกลมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะชนะในเขตเลือกตั้งได้หรือไม่?

มีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อโดยพร้อมเพรียงกันว่า ต้องมีพรรคก้าวไกลเป็นตัวแทนของพลังใหม่ในการเปลี่ยนประเทศตั้งแต่รอบนี้ได้หรือไม่?

เหลือเวลาอีกสามเดือน !!!