ใช้หนี้บุญคุณประยุทธ์ “พล.ต.อ.อัศวิน” ช้ำซ้ำ ส.ส.บัญชีรวมไทยสร้างชาติ

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง
คอลัมน์​ : Politics policy people forum
ผู้เขียน : ปิยะ สารสุวรรณ

18 ตุลาคม 2559 พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจมาตรา 44 ออกคำสั่ง คสช.ที่ 64/2559 ให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. และแต่งตั้ง “พล.ต.อ.อัศวิน” รองผู้ว่าฯ กทม.ในขณะนั้น เป็น “ผู้ว่าฯ กทม.”

31 มีนาคม 2565 – วันรับสมัครผู้ว่าฯ กทม.วันแรก พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่คลองโอ่งอ่าง จนถูกตีความว่า ช่วยหาเสียงให้กับ พล.ต.อ.อัศวิน ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.

9 มกราคม 2566 พล.ต.อ.อัศวิน ปรากฏตัวในงาน “เปิดตัว” พล.อ.ประยุทธ์ สมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมกับสมัครเป็นสมาชิกพรรคเดียวกับ “เจ้านายเก่า”

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนาพิเศษกับ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ถึงเหตุผลที่เขากลับมาสู่สนามการเมืองเพราะคำว่า “บุญคุณ”

บุญคุณต้องทดแทน

“พล.ต.อ.อัศวิน” เล่าที่มา-ที่ไปเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ช่วย พล.อ.ประยุทธ์ สู้ศึกเลือกตั้ง 66 ว่า ราวเดือนธันวาคม 2565 ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ไปเปิดตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกปากชวนให้มาช่วย

แม้ว่าจะปฏิเสธมาโดยตลอด โดยให้เหตุผลว่า ต้องช่วยดูแลธุรกิจโรงแรม-รีสอร์ต และตลาดไนต์มาร์เก็ตที่พัทยา รวมถึงข้อจำกัดของ “นายตำรวจนอกราชการ” วัย 70 ปี และการเข้ารับการผ่าเข่าจากกอาการ “เอ็นไขว่คู่หน้าขาด” เพราะเล่นกีฬารักบี้

แต่เขาก็ตอบรับคำชวน “เจ้านายเก่า” เพราะ “บุญคุณ”

“พี่ตู่บอก มาช่วยหน่อย ผมบอกไปว่าผ่าเข่ามา ผมไปหาเสียงอะไรไม่ได้ เข่าไม่ดี เดี๋ยวนี้ผมวิ่งไม่ได้แล้ว แต่เดินได้ เขา (พล.อ.ประยุทธ์) ก็พูดแซวว่า นั่งรถเข็นก็ได้ มาช่วยหน่อย”

“ความคุ้นเคย บุญคุณ ท่านบอกว่า ไว้ใจ วินเป็นคนตรง ๆ ง่าย ๆ ผมไม่มีพิธีรีตอง ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ผมเป็นคนพูดสั้น ๆ ได้ก็ Ok ถ้าไม่ได้ก็บอกไม่ไหว”

ยิ่งมาจากเบ้าหลอม-ระบบเดียวกันของ “นักเรียนโรงเรียนนายร้อย รุ่นที่ 30” กับ “นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 12” ฝึกเหมือนกัน-คุ้นเคยกัน ทำให้เขาตัดสินใจรบด้วยกันในศึกเลือกตั้ง

“คุ้นเคยกันมาตั้งแต่ท่านนายกฯเป็นแม่ทัพภาค 1 ผมเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ปี’47 ท่านนายกฯเป็นรองแม่ทัพภาค 1 ผมก็เป็นรอง

ผู้บัญชาการ เป็นพลโทก็เป็นพร้อมกัน แต่ผมเป็นพลตรีก่อน”

“อดีตผู้ว่าฯ กทม.” ยื่นเงื่อนไขขอเพียง “ช่วยหาเสียง” และไม่ขอเป็นกรรมการบริหารพรรค-มีส่วนในการคัดผู้สมัคร ส.ส.กทม.

“ผมจะไปช่วยเดินหาเสียง แต่จะให้ผมไปเลือกคน ผมไม่เลือก เป็นเรื่องของพรรค ผมขอไม่เป็นกรรมการบริหารพรรค ขอไม่เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่เขาไม่ยอม เขาถามว่า จะเอาอันดับที่เท่าไหร่ เราบอกอันดับ 100 (อันดับสุดท้าย)”

สุดท้าย “พล.ต.อ.อัศวิน” มีชื่อติดอยู่ในบัญชีผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 20

ปักหมุด ส.ส.กทม. 5 ที่นั่ง

“อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.” จับกระแสของรวมไทยสร้างชาติ “ไม่ดีเท่าไหร่” ส่วนจะ “แก้เกม” เขาขอ “ไม่ก้าวล่วง” แต่ให้ไปช่วยเดินหาเสียงที่ไหนไปหมด

“ให้ผมไปตรงไหน อย่างตรงนี้ (เวทีปราศรัยใต้สะพานพระราม 8) ให้มา ผมก็มา เมื่อวานผมไปลาดกระบัง ให้ผมไปที่ไหน ผมก็ไปหมด วันก่อนผมก็ไปบางแค คนรู้จัก ชาวบ้านรู้จักหมด”

“เขาก็ขอโทษขอโพยว่า ขอโทษนะที่คิดผิดไป เราก็บอกไปว่า เรื่องเก่าอย่าพูด ไม่ต้องพูด ลืมอดีตที่มันเลวร้าย

ผมเป็นคนที่ไม่จำอดีต เขาบอกว่า เดี๋ยวถ้าลงใหม่จะเลือก ผมบอกว่า ผมหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่แล้ว ถ้าอยากแก้ตัวให้ผมก็เลือกลุงตู่แล้วกัน”

เจ้าของเสียงตอบรับจากคนกรุงเป็นอันดับที่ 5 ด้วยคะแนน 214,805 คะแนน ยอมรับว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ “เหนื่อย” แต่มั่นใจว่าจะได้ ส.ส.กทม. 5 ที่นั่ง คือ ฝั่งธนบุรีจะได้ ส.ส.กทม. 2 ที่นั่ง กับฝั่งพระนคร 2-3 ที่นั่ง

“ผมลงไปจะคุยและถามตรง ๆ ไม่ต้องมาเอาใจกันว่าเลือกไม่เลือก ถ้าบอกไม่เลือก Ok ไม่เป็นไร แต่ขอร้องให้ไปใช้สิทธินะ เขาก็บอกว่า อะ เขตไม่เลือก แต่ลุงตู่อาจพิจารณาให้”

“เราไปลงไปคุยกับชาวบ้าน เขาก็บอกว่าเขาขอโทษ ผมก็บอกว่า ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ การเมืองก็อย่างนี้แหละ อยู่นาน ๆ คนเบื่อ ธรรมชาติ ทุกคนอยากลองของใหม่ เราเข้าใจโลก ผมเข้าใจสังคมมนุษย์”

เซฟโซน ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับที่ 11

ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 20 เชื่อว่า “ไม่ถึงอยู่แล้ว” เพราะพื้นที่ “เซฟโซน” ที่เขาขีดคั้นไว้ คือ ไม่เกินอันดับที่ 11 หรือ 4 ล้านคะแนน แม้ว่าคนในพรรคจะประเมินสูงถึง 7-8 ล้านคะแนน

“ประมาณ 10-11 หรือไม่เกิน 4 ล้านคะแนน แต่พรรคยืนยันว่า 7-8 ล้านคะแนน ไปเอาที่ไหนมา ผมเป็นคนพูดไม่เข้าหูคน เขาก็ไม่ชอบ เขาชอบคนพูดอวย เอาใจ”

“เขาเคยถามผม ว่าจะได้เท่าไหร่ ผมบอกว่า ส.ส.ทั่วประเทศ 40 ก็สุดยอดแล้ว บางคนบอกว่าจะได้ 70-80 คนพูดไปเดินหาเสียงบ้างเปล่า 40 นี่ก็หรูแล้ว ถ้าพูดกันตรง ๆ ผมเป็นคนพูดไม่เกรงใจคน คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 3.5 ล้านคะแนน ก็ถือว่า สุดยอด”

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “คนเบื่อ” เพราะอยู่มานานกว่า 8 ปี “พล.ต.อ.อัศวิน” บอกเหตุผล-ความจำเป็นที่ต้องเลือก พล.อ.ประยุทธ์ให้ต้องกลับมา ต้องไปต่อ-ทำต่อ

“ส่วนตัวเลยนะ พี่ตู่เนี่ย เป็นคนซื่อสัตย์ เรื่องทุจริตยืนยันว่า ไม่มี แต่คนอื่นที่อยู่กับเขาไม่รู้ ผมไม่วิจารณ์ใคร เอาตัวเขาคนเดียว กินข้าวบ้านอย่างเดียว”

“ความซื่อสัตย์ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์สูงมาก (เสียงสูง) เขา (พล.อ.ประยุทธ์) เป็นคนซื่อสัตย์ ผมการันตี ที่ผมช่วยเขา ไม่ได้ช่วยเพราะพรรค ผมช่วยเพราะตัวเขา เขาเป็นคนซื่อสัตย์ ผมยอมรับ”

“เราอยู่กันมา ไม่ต่ำกว่า 50 ปี เขาเป็นนักเรียนนายร้อย เราก็เป็นนักเรียนนายร้อย รู้จักกันมา 50 ปีแล้ว เขาก็ยังเป็นคนอย่างนั้นอยู่ เรื่องความซื่อสัตย์”

ถอดบทเรียนแพ้ “ชัชชาติ”

“ผู้ว่าฯอัศวิน” ถอดบทเรียนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อครั้งที่ “ผู้ว่าฯที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” ได้คะแนนทุบทุกสถิติ 1,386,769คะแนน ว่า “กระแสล้วน ๆ กระแสทริป (ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน) เขาดี” และไม่สามารถสะท้อนการเลือกตั้ง 66 ได้

“เราก็คุยกัน เราเรียกเขาว่า ทริป ๆ อันไหนที่ดีก็ทำไปนะ ถ้าไม่ดีก็ตัดทิ้งไปเลย ไม่เป็นไร อย่าไปคิดว่าทำเพื่อใคร ไม่ต้องไปเกรงใจใครหรอก ใครที่มีบุญคุณที่ไม่ยั่งยืนตรงนั้น ไม่ต้องไปเกรงใจ ต้องเกรงใจประชาชนที่เลือกมาตั้ง 1.3 ล้านคะแนน”

“อาจารย์ชัชชาติเขาเดินมานาน เขาทำมา 3 ปี กระแสตัวเขา กระแสโซเชียลต้องยอมรับว่า กระแสทางอากาศใครก็สู้เขาไม่ได้ แต่ก่อนเขาไลฟ์คนดูเป็นหมื่น แต่เดี๋ยวนี้ไลฟ์น้อยลง ผมก็ให้กำลังใจเขานะ”

“ผมคุยกับข้าราชการ น้อง ๆ ว่า อะไรที่ดีก็ไปบอกท่านผู้ว่าฯชัชชาตินะ แต่ถ้ามีโอกาสเจอ ผมก็จะบอกว่า ใครเขาบอกว่า นั่นเป็นผลงานของคนเก่า อย่าไปเชื่อ ปลูกบ้านถ้าไม่วางรากฐานจะปลูกยังไง ถ้าคิดว่าเราจะวัน แมน โชว์ไม่มีทางเกิดกรุงเทพฯ”

ปิดประตูรีเทิร์นลง ผู้ว่าฯ กทม.

แม้ “กลุ่มรักษ์กรุงเทพ” ที่เคยเป็นกองบัญชาการสู้ศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. “ยังมีอยู่” แต่ “พล.ต.อ.อัศวิน” ขอปิดประตู-ล็อกตาย ไม่ขอกลับไปท้าชิงเก้าอี้พ่อเมืองเสาชิงช้าอีก แต่พร้อมที่จะ “สนับสนุนเต็มที่”

“เลิกคิดไปเลย ผมไม่เอาแล้ว ผม 70 ปีไม่เคยพักเลยนะ ผมเกษียณมา 9 ปี มาทำต่อเลย มาเป็นรองผู้ว่าฯ มาเป็นผู้ว่าฯ ตอนเป็นตำรวจก็หนักมาทั้งชีวิต”

“ผมเป็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดของตำรวจ แต่สมัยผมไม่เหมือนกับตำรวจสมัยโน้น ไม่รู้ใครตกต่ำกว่ากันระหว่างตำรวจกับพระ สมัยผมเป็นผู้การกองปราบมา 3 ปี เป็นผู้การกองปราบดีเด่น ผู้การจังหวัดใหญ่ เป็นผู้บัญชาการนครบาล ผู้บัญชาการภาค 2 ภาค 1 ที่ใหญ่ ๆ ที่สุดในประเทศ ผมเป็นมาหมดแล้ว แต่ผมไม่มีความด่างพร้อยเรื่องทุจริต”

หากโอกาสเปิดเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง เรื่องที่ “บิ๊กวิน” ต้องการ “ปฏิรูปตำรวจ” มากที่สุด คือ “ส่วย”

“ผมคิดว่าต้องสร้างค่านิยมกันใหม่ ไม่ใช่ตำรวจต้องไปเรียกรับส่วย สมัยผมมีได้เยอะกว่านี้อีก ผมเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ตู้ม้าห้ามมีเด็ดขาด ถ้ามีผมเอาตาย สมัยอื่นมีกันลึ่ม ๆ สมัยผม ไม่ ๆ เด็ก พ่อแม่ให้ตังค์มา 20 บาท หยอดตู้ก่อนเข้าโรงเรียนหมดแล้ว กลางวันข้าวไม่ได้กิน ผมถือมากเรื่องนี้ ผมว่ามันเป็นความชั่วช้าของระบบ”

ก่อนที่ “พล.ต.อ.อัศวิน” จะต้องจบบทสนทนาและเตรียมตัวต้อนรับ “เจ้านายเก่า” ขึ้นเวทีปราศรัย เขาไม่ฟันธงว่า ผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้จะ “หักปากกาโพล” หรือไม่

“ขึ้นอยู่กับว่า เพื่อไทยยอมหรือเปล่า เขาคงไม่อยากให้ใคร (ก้าวไกล) ขี่คอ เพราะก้าวไกลบางทีเขาไม่ยอมนะ บางเรื่องเขาก็ไม่ยอม”

ส่วนจะได้เห็น “รัฐบาลข้ามขั้ว” เพื่อไทย “จับมือ” กับพลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติหรือไม่ เขาไม่กล้าวิจารณ์ตรง ๆ แต่บอกเป็นนัยทางการเมืองว่า

“ลุงป้อมบอกว่า มึงอยู่กับกูเป็นรัฐบาลแน่นอน ผมบอกว่าขอให้โชคดีพี่ (พร้อมกับยกมือไหว้ท่วมหัว)” พล.ต.อ.อัศวินเงาในเงา พล.อ.ประยุทธ์ ทิ้งทวน