
วันนอร์ นั่งเก้าอี้ประธานสภา โดยไม่มีคู่แข่ง ประกาศวางตัวเป็นกลาง มีผู้เข้าร่วมชิงตำแหน่งรองประธานสภาจาก 2 พรรคคือ พรรครวมไทยสร้างชาติ และก้าวไกล
วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดแรกเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 2 ราย โดยมี พล.ต.อ.วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะ ส.ส.ที่มีอาวุโสสูงสุดทำหน้าที่เป็นประธานชั่วคราว ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่วาระ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชาติ ทั้งนี้ ตามข้อบังคับได้ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อแสดงวิสัยทัศน์
โดยได้แสดงวิสัยทัศน์ว่า ขอบคุณสมาชิกที่เสนอชื่อมาทำหน้าที่ประธานสภา ขอยืนยันว่า 1.จะทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลางทางการเมือง น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม มาเป็นแนวทางปฏิบัติ
2.จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใส สุจริต ตามกฎหมาย ข้อบังคับทุกประการ 3.จะกำหนดแนวทางร่วมกันกับรองประธาน 2 คน ในการพิจารณาร่างกฎหมาย ญัตติ กระทู้ถามอย่างเป็นระบบ ให้ ส.ส.ได้ปฏิบัติหน้าที่เต็มความสามารถ
4.ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติของคณะกรรมาธิการทุกคณะ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชนทุกกรณี นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวต่อว่า 5.ร่วมกับ ส.ส.ดำเนินการนโยบายต่างประเทศกับฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อประโยชน์แลกเปลี่ยนข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพฝ่ายนิติบัญญัติ 6.จะทำหน้าที่กำกับดูแลงานสถาบันพระปกเกล้าให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมงานฝ่ายนิติบัญญัติ และ 7.ส่งเสริมสถานีวิทยุ-โทรทัศน์เป็นสถานีของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมไม่มีใครเสนอแข่ง ทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามข้อบังคับการประชุมสภา ข้อ 6 วรรค 3
จากนั้นเข้าสู่การเลือกรองประธานสภาคนที่ 1 โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอชื่อนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ขณะที่นายนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เสนอนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ
ปดิพัทธ์ ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่
ทั้งนี้ นายปดิพัทธ์แสดงวิสัยทัศน์ว่า ถือเป็นเกียรติและเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่ตนจะมีโอกาสได้สนับสนุนองค์กรที่เป็นกระบวนการนิติบัญญัติ และสนับสนุนประธานสภา ความตั้งใจที่ตนอยากนำเสนอกับสภาเพื่อพิจารณาคือ อยากเห็นประชาชนกลับมามั่นใจในสภาอีกครั้ง ในกระบวนการนิติบัญญัติที่กฎหมายทุกฉบับจะได้รับการพิจารณาอย่างมีประสิทธิภาพเราจะทำให้สภานิติบัญญัติกลับมามีตัวตนและศักดิ์ศรี โดยที่ไม่อยู่ใต้อาณัติของฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญที่พวกเราควรต้องยึดถือและสนับสนุนให้เกิดขึ้น
เมื่อตนได้ดูภารกิจสำนักงานเลขาธิการสภา เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตนเป็นอย่างมาก คือสำนักงานเลขาธิการสภาจะเป็นสมาร์ท พารีเมนต์ คือการเสริมสร้างกระบวนการนิติบัญญัติให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล การที่เราจะพัฒนากระบวนการนิติบัญญัติให้มีคุณภาพได้นั้น
เราจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับกระบวนการนิติบัญญัติให้มีมาตรฐานสากลให้ได้ ไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศด้วย คือกระบวนการตรวจสอบที่ประชาชน สื่อมวลชน เพื่อนสมาชิก สามารถติดตามกระบวนการผ่านร่างกฎหมายได้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สามารถทำให้ประชาชนสามารถติดตามกฎหมายได้
หนุนเท่าเทียมทางเพศ
นายปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังนึกถึงการที่จะแปลกฎหมายที่ผ่านมติในวาระสามของสภาผู้แทนราษฎรและบังคับใช้แล้วเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ร่วมกับอาเซียนและประชาคมโลกได้ รวมถึงการมีความร่วมมือในเวทีรัฐสภาระหว่างอีกหลายด้าน โดยเฉพาะการเสริมสร้างบทบาทความเท่าเทียมทางเพศของสมาชิกที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือสมาชิกที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ให้มีบทบาทขับเคลื่อนสภาอย่างเข้มแข็ง
ทั้งนี้ ตนอยากเห็นสิ่งที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ไม่ใช่แค่การเลือกตัวแทนของเขาเข้ามาทำงานในสภาแห่งนี้ แต่กระบวนการรับฟังความเห็นต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉะนั้น หากตนได้รับการมอบหมายจากประธานรัฐสภาและประธานสภา ตนจะใช้ 4 ปีที่มีอยู่เป็นกลางให้ได้มากที่สุด
และทุกความสามารถในการพัฒนาองค์กรนี้ให้มีสมรรถนะสูง เป็นระบบราชการที่ทันสมัย ตอบสนองพี่น้องประชาชนและการทำงานของเพื่อนสมาชิก และเราจะสามารถยกระดับรัฐสภาให้ดีขึ้นได้ สัญญาว่าจะสนับสนุนการทำงานของประธานสภาให้ดีที่สุด และจะบริการสมาชิกทุกท่านอย่างเท่าเทียมกัน
วางตัวเป็นกลาง-กู้เกียรติภูมิสภา
นายวิทยาแสดงวิสัยทัศน์ว่า ใจความสำคัญของการทำหน้าที่ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ คือ ความเป็นกลาง รักษาองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ ให้เป็นสภาที่ทรงเกียรติ ศักดิ์สิทธิ์ในการออกกฎ กติกา กฎหมายให้กับบ้านเมือง ประเทศเราเป็นนิติรัฐ ต้องบริหารด้วยกฎหมาย ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กติกาและกฎหมาย
ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าผมได้ทำหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานสภา ผมพร้อมที่จะปฏิบัติตามแนวนโยบายของประธานสภา ปฏิบัติหน้าที่เป็นกลาง ให้ความเสมอภาคเพื่อนสมาชิกในสภา และที่สำคัญ ผมมั่นใจว่าผมจะรักษาเกียรติภูมิและหน้าตาของสภา สภานิติบัญญัติของเราให้เป็นที่เชื่อมั่น เชื่อถือของประชาชน มีความเป็นกลาง ผมให้ความมั่นใจกับเพื่อนสมาชิกได้ว่า ผมจะวางตัวเป็นกลางและรักษาเกียรติภูมิของสภาให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น
บางยุคสมัยประชาชาชนรู้สึกเบื่อหน่าย รำคาญที่สภาที่ไร้ระเบียบ ไร้วินัย สิ่งที่ต้องเริ่มต้น เราต้องช่วยกันให้สภากลับมามีเกียรติภูมิอย่างแท้จริง ผมให้ความมั่นใจกับเพื่อนสมาชิกได้ภายในระยะเวลา 1 ปี 2 ปี หรือ 3 ปี หรือกี่ปีในสมัยประชุมนี้ ในสมัยของสภาชุดนี้ ผมจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง และรักษาเกียรติภูมิของสภาไว้ให้ดีที่สุด