เกาะติดเกมเพื่อไทย-คณะก้าวหน้า เปิดศึกชิง 200 สว.กระหึ่ม

เกาะติดเกมเพื่อไทย ก้าวหน้า ชิง 200 สว.

250 สว.ที่มาจากอำนาจพิเศษ ครึ่งทศวรรษ นับถอยหลัง พ้นจากวาระในอีกไม่กี่ชั่วโมง ขณะที่นักการเมืองระดับท้องถิ่น-นักธุรกิจใหญ่-พ่อค้าหัวเมือง นักวิชาการและคนดังทุกสาขาอาชีพ นับแสนคนคึกคักเตรียมลงสนามชิเข้าเส้นชัย 200 สว. “เลือกตั้ง สว.แบบปิด”

แต่ด้วยกติกา ที่กำหนดโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้ง และกระบวนการเลือกตั้งพิศดาร-แบบไขวักันไปไปมา กินเวลายาวนานนับเดือน ทำให้นักการเมืองรุ่นใหญ่ ตัวจริง ต้องกระโดดเปิดสนาม ปูทางให้เครือข่ายการเมือง ได้เข้าสู่อำนาจ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกนนำคณะก้าวหน้า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพวก ปรากฏตัวชิงลงมือล่วงหน้ามาตั้งแต่ก่อนเดือนเมษายน 2567 แม้ว่าร่างปฏิทินการเลือก สว. ที่ กกต. ชงให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา 23 เมษายน 2567 จะมีผลบังคับใช้ 13 พฤษภาคม และคาดการณ์วันประกาศผลเลือกตั้ง 2 กรกฏาคม 2567

และมีกฏเหล็กกำกับบังคับใช้กับผู้สมัครและผู้ช่วยเหลือในการแนะนำตัวผู้สมัคร สว.ไว้อย่างน่าเกรงขาม “หากใครฝ่าฝืนเงื่อนไขที่กำหนดไว้นี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และให้ศาลสั่งเพิกภถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 5 ปี”

ปักธง สว.ประชาชน 70 เสียง

ทว่าชาวคณะก้าวหน้า หาได้หวั่นเกรงไม่ ธนาธรและพวก เดินสายทั่วทุกหัวระแหง ปักธงความคิดด้วยแคมเปญ “สว. ประชาชน” รณรงค์ให้ประชาชนผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย ไปลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตั้งโจทย์อย่างเป็นระบบในการค้นหา สว.ประชาชนทั้งแผ่นดิน ด้วยการตั้งฐานยอดผู้สมัครทั้งหมดไว้ที่ 1 แสนคน

Advertisment

การค้นหา 1 แสนคน ในนามของ “ประชาชนที่รักประชาธิปไตย” คณะก้าวหน้าหวังบันไดขั้นแรกให้คนร่วมสมัครลงสนาม เพื่อสร้างบทบาทร่วมฟื้นฟูประชาธิปไตยของประเทศ

ในเฟสแรก ธนาธร-ก้าวหน้า ตั้งเป้ายอด สว.ประชาชนไว้ อย่างน้อย 70 คน จาก 200 คน ดีดลูกคิดสัดส่วน 1 ใน 3 ของสมาชิกวุฒิสภา ถือเป็นจำนวนเสียงที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ต่ออนาคตประเทศไทย ผ่านการชี้ขาด-ชี้นำการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560

ภารกิจ สว.สายคณะก้าวหน้า คือพาการเมืองไทยออกจาก “ระบอบประยุทธ์” แม้ว่าในโครงสร้างอำนาจปัจจุบันจะไร้ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์แล้วก็ตาม

ธนาธรชี้รูปธรรมของระบอบเดิมว่า “แต่ระบอบประยุทธ์ ยังอยู่กับเราในรูปแบบรัฐธรรมนูญ 2560 คุณประยุทธ์ไม่อยู่แล้ว แต่ตัวระเบียบที่ก่อร่างสร้างตัวคณะรัฐประหารยังอยู่กับเรา”

Advertisment

แก้รัฐธรรมนูญ-กำหนดเกมอรหันต์องค์กรอิสระ

การปักธง สว.ประชาชน ไม่น้อยกว่า 70 ราย ไม่เพียงเพื่อกวาดล้างระบอบเก่า แต่ใฝ่ฝันระบอบใหม่ ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และผ่องถ่ายอำนาจอรหันต์ในองค์กรอิสระ ที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญในการกำหนดเกมอำนาจการเมือง ผ่าน 3 องค์กร อาทิคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ไม่ควรลืมว่า ด้วยกลไก สว.อำนาจพิเศษ 5 ปี ที่ผ่าทางตันให้การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ที่กินเวลายาวนานที่สุดถึง ถึง 109 วัน ถึงวันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง รัฐมนตรี 1 กันยายน 2566

เสียง สว.ที่พลิกเกม เป็นจุดเปลี่ยนทำให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว แบกพรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคอันดับ 2  ผงาดขึ้นเป็นแกนนำ ด้วยการลงมติถึง 152 เสียง รวมกับเสียง สส. กวาดคะแนนไป 482 เสียง ต่อ 165 เสียง ดันนายเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ได้สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ พรรคเพื่อไทย จึงไม่กระพริบตาเกมเลือกตั้ง สว.ครั้งใหม่ แม้จะต้องลงทุนเลือกไขว้ถึง 6 รอบ 3 ระดับ ผ่าน 20 กลุ่มอาชีพ

เพื่อไทยไม่ปล่อยให้คู่แข่งคนสำคัญในสนามการเมืองอย่างคณะก้าวหน้า-ชิงเดินหน้าฝ่ายเดียว มีการตั้งวงวิเคราะห์และจัดวางกำลังคนไว้อย่างเป็นจังหวะจะโคน

จังหวะก้าว-จังหวะคิดของเพื่อไทย เดินหน้าคู่ขนานทั้งการหาผู้สมัคร-หาเสียง นายกฯ อบจ. และเครือข่าย สว.ไปพร้อม ๆ กัน เฟสแรกเปิดตัวไปแล้วกว่า 10 อบจ.

ครอบครัวเพื่อไทยปักธงอีสาน-เหนือ

เสียงก้องจากห้องประชุมพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ให้ “ครอบครัวเพื่อไทย” นักการเมืองบ้านใหญ่มากบารมี ค้นหาตัวบุคคล เพื่อเป็นตัวแทนลงชิงเก้าอี้สภาสูง นำรายชื่อมาวิเคราะห์-คัดสรร แล้วจัดระบบตามพื้นที่ที่เหมาะสม และคาดการณ์ทำนายผลความเป็นไปได้ในการชิงชัยชนะเข้าสู่สัดส่วนที่มีนัยสำคัญ 200 เสียงให้ได้

ฐานเสียง-มวลชนที่เป็นจุดแข็งสูงสุดของพรรคเพื่อไทย ถูกปักหมุดหมายไว้ที่ การเมืองระดับท้องถิ่นพื้นที่ภาคอีสาน 19 จังหวัดและภาคเหนือ 17 จังหวัด

นักการเมืองในพรรคเพื่อไทย ดีดลูกคิดไม่ไกลเท่ายอดของคณะก้าวหน้า ตั้งเป้า สว.ฝ่ายเดียวกับสภาล่างไว้ 2 ภาค 36 จังหวัด อย่างน้อยควรฝ่ายด่านเข้าสู่เส้นชัย ไม่น้อยกว่า 20 เสียง

กิจกรรมการเมืองของพรรคเพื่อไทย ไมว่าจะเป็น “ทัวร์นกขมิ้น” หรือการลงพื้นที่ตรวจราชการของรัฐมนตรีโควต้าเพื่อไทยทั้ง 18 คน ประกาศแผนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ต่อยอดนโยบายที่เคยสำเร็จ และประกาศนโยบายใหม่ แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ล้วนเป็นเส้นทางทำคะแนนคู่ขนานเปิดทางสู่ลู่เลือกตั้ง สว.
ท่ามกลางสมรภูมิการเมือง ที่เบียดขบกันทุกพื้นที่ฐานเสียงที่ปะทะกันมาระหว่างพรรคก้าวไกล (กก.) กับพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ครั้งเลือกตั้งทั่วไป ไม่ว่าจะป็นพื้นที่ที่ประชาชนประสบภัยพิบัติเนื่องจากโรงงานเก็บสารเคมีไหม้อย่างมีเงื่อนงำ ใน จ.ระยอง หรือพื้นที่ไฟป่า จุดความร้อนแรงในภาคเหนือ

นักธุรกิจทั่วประเทศคึกคัก

ไม่เพียงนักการเมืองรุ่นใหญ่ อดีตข้าราชการ คนดัง และบุคคลที่แฝงตัวเป็นเครือข่ายของพรรคเพื่อไทย และคณะก้าวหน้า ที่เตรียมลงสนาม แต่ยังมีนักธุรกิจ ที่เคยคร่ำหวอดในวงการ-ผ่านห้องประชุม สส. และ สว. มาแล้วหลายคน ที่ปักหมุดเทใจ หวังได้เข้าสู่อำนาจในสภาสูง

อย่างน้อยก็มี ชื่อ นายกิตติ พรศิวะกิจ กรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และรองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และนายสุรวัช อัครวรมาศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคม รวมทั้งประธานสภาท่องเที่ยวในต่างจังหวัด และนายกสมาคมท่องเที่ยวในพื้นที่ อีกไม่ต่ำกว่า 50 จังหวัด ยังมีนายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้ง “ตลาดดอตคอม” ร่วมวง

ทุกเครือข่ายอำนาจ มุ่งหน้าสู่การเปิดหน้าบัตรประชาชน ที่ กกต.เปิดให้ลงชื่อ เพื่อฝ่าด่านการเลือกตั้งแบบปิด ใน 928 อำเภอ เลือกตั้งตัวเอง-เลือกไขว้พวกเดียวกัน-เลือกคนละพวก ตามสูตรจะมีคนสมัครและผ่านด่านแรกตั้งต้นที่ 55,680 คน

13 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป ทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จะได้เห็นโฉมหน้าผู้สมัคร และการเลือกตั้งแบบปิดจะเริ่มต้นขึ้นในช่วง 9 มิถุนายน จากนั้นเข้าสู่ดิวิชั่นระดับจังหวัด 16 มิถุนายน ขึ้นสู่ลีกระดับประเทศนวันที่ 26 มิถุนายน

2 กรกฏาคม 2567 หากไม่มีการต่อสู้เรื่องแทกติกกฏหมาย การฟ้องร้องไม่เปิดฉากลากยาวมโหฬารถึง กกต. โครงสร้างอำนาจใหม่ในรอบ 5 ปี ก็จะเริ่มต้นขึ้น ฝ่ายคณะก้าวหน้า และคณะเพื่อไทย เปิดเกมเข้มข้นทุกอณูการเมือง