
หมออ๋อง-ปดิพัทธ์ สันติภาดา เคยเป็น สส. 2 สมัยในนามพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล
อยู่บนจุดสูงสุดในสภา นั่งบัลลังก์เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แต่แล้วเขาต้องถูกพ้นจาก สส. พ้นจากสภา เพราะพรรคก้าวไกลถูกยุบ
วันนี้ “หมออ๋อง” อยู่นอกสภา เข้าสภาช่วยงานพรรคประชาชนแบบ Part Time ส่วนงาน Full Time เขารับบทเป็น CEO ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่มีหลายสาขาอยู่บนรถไฟฟ้าบีทีเอส และย่านออฟฟิศใจกลางเมือง ชื่อว่า Naeki Sushi
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีคอนเซ็ปต์ไม่ต้องนั่งที่ร้าน ไม่ต้องรอนาน ๆ ต้องการความเร็ว และอร่อย เพื่อทำให้วันดี ๆ เกิดขึ้นได้
“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “หมออ๋อง” ใหม่ในบท CEO มองการเมืองจากนอกสภา พร้อมกับวิเคราะห์เดิมพันของพรรคประชาชน ทั้งคดี 44 สส. และการเลือกตั้งปี’70
CEO กับนักการเมือง
หมออ๋องพูดถึงการปรับตัวจากนักการเมือง สู่บทบาท CEO ว่า ชีวิตประจำวันเมื่อก่อนดูข่าวเป็นหลัก แต่ตอนนี้เรามีรูทีน ตื่นมาดูตัวเลข ดูเรื่องลูกค้ามี Feedback อะไรบ้าง แต่ที่เหมือนกันคือผมเป็นหัวหน้าประชุม ต้องคุมการประชุม หัวหน้าแผนกสาขาต่าง ๆ ให้ดี
จากคนวงในการเมือง ในฐานะ สส.และรองประธานสภา เมื่อกลับมาอยู่ข้างนอก ทั้ง 2 บทบาทต่างกันอย่างไร เขาตอบว่า แน่นอนอาชีพต่างกัน Profit ตอนเป็นนักการเมืองคือการที่เราผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนสำเร็จ
แต่ Profit ที่นี่คือกำไร ขาดทุน และความเป็นอยู่ของลูกน้อง ของพนักงาน ความพึงพอใจของลูกค้า เป็นมิติที่รอบด้านในการต่อสู้ดิ้นรนมากกว่า ตอนเป็นนักการเมืองก็ต่อสู้ดิ้นรน แต่ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดของเรา หากเป็นปากท้องของประชาชน แต่ตอนนี้เป็นทั้งเรา ทั้งลูกน้อง ทั้งพนักงาน
เครียดคนละแบบ ความเครียดของการเป็นนักการเมือง เครียดที่สุดคือรับเรื่องประชาชนมาแล้วแก้ไขไม่ได้ เช่น ตอนที่เราเจอผู้ประกอบการช่วงโควิด-19 หนักอย่างไร เราพูดไป แต่กลับบ้านไปประชาชนยังร้องไห้เหมือนเดิม เพราะมาตรการรัฐไม่เปลี่ยน
เครียดเรื่องการตอบสนองความต้องการของ Voter ที่ต้องรักษามาตรฐาน การทำงานของตัวเอง เพราะนักการเมืองก็กลัวสอบตก พูดง่าย ๆ ดังนั้น ต้อง Keep พลังงานในการใช้ไปกับผู้คน แต่ปัจจุบันนี้เราใช้พลังงานกับหัวสมอง ในความคิด ในตัวเลข ใน Business Model เหนื่อย เครียด ไม่เหมือนกัน
จากหมอสัตว์สู่นักการเมือง และรับบท CEO บทบาทต่างกันทั้งหมด “หมออ๋อง” ตอบว่า ข้อดีของผมคือทำได้หลายอย่าง (หัวเราะ) ตอนนี้เติบโตขึ้นตามอายุ และประสบการณ์ที่ผมทำหลาย ๆ อย่างมา ทางบริษัทชวนให้ผมมาเป็นผู้บริหาร เพราะคิดว่าประสบการณ์ที่หลากหลาย สามารถพาบริษัทไปสู่ Chapter ใหม่ได้…ก็ลองดู
แต่ผมทำทุกบทบาทเต็มที่ ไม่คิดว่าจะทำเพื่อให้ได้แค่เงินเดือน แต่ผมมี Passion ที่จะทำธุรกิจนี้ให้ดีด้วย ถ้าเราเก่งแฟรนไชส์ ผู้ประกอบการเก่งแฟรนไชส์ อาหารไทย เราไปทั่วโลกได้ เพราะถ้าเราไม่ใช่ แฟรนไชส์ การลงทุนก็จะเป็นเงินเราเท่านั้น แต่ถ้าเราเก่งแฟรนไชส์ เชิญชวนนักลงทุนอื่น ๆ มาลงทุน และเราสามารถบริหารมาตรฐานได้ เราสามารถไปทั่วโลก
มองกลับไปยังสภา
ในสภาก็ยังติดตามสภาอยู่ ในฐานะ Active Citizen แน่นอนเรามองกลับไป เราเข้าใจว่าทำไมเขาเปลี่ยนวาระแบบนี้ ทำไมเรื่องนี้ช้า เรื่องนี้เร็ว และเราอยากเป็นคนหนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและประชาชนเข้าใจการเมืองด้วย อาจทำหน้าที่การสื่อสารตรงนี้
ถามว่าคันไม้ คันมือ อยากกลับเข้าไปนั่งบนบัลลังก์หรือไม่ “หมออ๋อง” ตอบว่า ไม่หรอกครับ…ตอนนี้เชียร์เพื่อน คิดว่า สส.ที่ทำหน้าที่ในสภา ทำหน้าที่ได้ดี ดีกว่าผมตอนอยู่ ตอนที่ผมเป็น สส.ใหม่ ๆ สู้ชุดนี้ไม่ได้เลย ดังนั้น ดูด้วยความภาคภูมิใจ ให้กำลังใจ
หมออ๋องเปรียบเทียบพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล สู่พรรคประชาชน แต่ละสเต็ปการเมืองโตขึ้นเยอะ
“ตอนพรรคอนาคตใหม่เรามี สส. 81 คน ประสบการณ์การเมืองคือศูนย์ พอมาพรรคก้าวไกล เรามี สส. 151 คน ตอนเป็นพรรคประชาชนก็เท่าเดิม แต่เรามาด้วยประสบการณ์ที่สูงขึ้น จากระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวตอนพรรคอนาคตใหม่ ลงเลือกตั้ง ทำให้เราได้ สส.อาจจะต้องอิงกระแสพรรคอย่างเดียว แต่ตอนนี้เป็นระบบการเลือกตั้ง 2 ใบ ทำให้เรามีนักสู้ที่เขาฝ่าฟันในสนามเลือกตั้งมาได้ ก็เลยทำให้คุณภาพสูงขึ้น”
44 สส.สู้เพื่อหลักนิติธรรม
พรรคประชาชน ยังต้องลุ้นคดีสำคัญคือ การยื่นแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของ 44 สส.พรรคก้าวไกล ที่อาจเข้าข่ายผิดมาตรฐานจริยธรรม “หมออ๋อง” มองสถานการณ์นี้ว่า เราเตรียมข้อเท็จจริงไว้ชี้แจง ถ้า ป.ป.ช.เปิดการไต่สวน และชี้แจงได้ เราก็สามารถตอบได้ทุกคำถาม ทุกข้อซักถามได้ ว่าทำไมเราถึงทำเรื่องนี้
เป็นการเดิมพันกับเรื่องความยุติธรรมในประเทศ ไม่ใช่เรื่องของพรรค คุณเห็นไหมว่ามีเรื่องไม่ยุติธรรมกี่เรื่อง เราสู้เพื่อหลักนิติธรรม เราสู้เพื่ออำนาจนิติบัญญัติ ว่าเราเป็น สส.สามารถเสนอกฎหมายได้ เราเป็นเสียงหนึ่ง ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา
“ทั้ง คอป.ของอาจารย์คณิต ณ นคร ทั้งท่านอานันท์ ปันยารชุน ท่าน ศ.ศิวลักษณ์ ท่านเห็นปัญหาในกฎหมายมาตรานี้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เป็นตัวแทนของ Generation อะไรเลย แต่เราเป็นตัวแทนของการต่อสู้เพื่อให้หลักนิติธรรมยังคงอยู่”
ถามว่ากังวลไหมหลังจากถูกยุบพรรคมา 2 รอบ หมออ๋องกล่าวว่า “ดูหน้าผมกังวลไหม…ผมคิดว่าพวกเขาทำอะไรเราไม่ได้มากกว่านี้แล้ว พอเราไม่ได้เป็นนักการเมืองที่อยู่หรือไปเพียงเพราะการเมือง ต่างจากนักการเมืองหลายคนที่มีอาชีพเดียว ตกงานไม่ได้ แพ้เลือกตั้งไม่ได้ ไม่ลงเลือกตั้งไม่ได้ ฆ่ากันตาย ยิงกันตาย เพราะเขามีอาชีพเดียว และหาผลประโยชน์จากอาชีพนั้น แต่ผมโดนตัดสิทธิทางการเมืองก็มีอาชีพ ผมมีคุณภาพพอที่จะทำงานอื่น”
ปี’70 ได้ สส.ไม่ต่ำกว่าเดิม
ส่วนการเลือกตั้งปี 2570 “หมออ๋อง” ประเมินว่า อันดับแรกไม่มีทางได้ สส.น้อยกว่าเดิม แต่เป้าหมายของพรรคประชาชนที่ผมฟังเขาในสื่อ ต้องการ 270 เสียง ถามว่าเป็นไปได้ไหม..เหนื่อย แต่เป็นไปได้ ถ้าดูอัตราการเติบโต เราเอามาพลอตเป็นกราฟ กราฟมันขึ้น แต่ถ้าตัดแกนนำไปมีผลแน่ ๆ เพราะเราไม่สามารถไปเกี่ยวข้องกับพรรคได้ ร่วมวางกลยุทธ์ไม่ได้ แต่เป็นผู้ช่วยหาเสียงได้
ไม่ว่าเราจะทำอะไรเกิดขึ้นในช่วงก่อนเลือกตั้ง 2570 จะโดนตัดสิทธิ โดนคดี จะแพ้เลือกตั้งท้องถิ่น แต่หยุดการโตของเราไม่ได้ เราโตขึ้นแน่นอน
หวัง สส.คิดถึงประชาชน
“หมออ๋อง” ไม่ขอฝากข้อความถึงเพื่อนพรรคประชาชน แต่อยากฝากถึง สส.ทุกคน ให้คิดถึงประชาชนเยอะ ๆ คิดถึงประเทศเยอะ ๆ เพราะการตัดสินใจของคุณในกรรมาธิการ หรือในสภาครั้งหนึ่ง เป็นความอยู่ ความตายของ SMEs อยากให้ สส.ฟังเสียงประชาชนเยอะ ๆ และอยากให้รัฐมนตรีเข้าสภาเยอะ ๆ เพื่อมาตอบกระทู้ มาแก้ปัญหาประชาชนร่วมกัน”
“แต่ถ้าจะส่งเสียงถึงรัฐบาล คิดว่าเราช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าคุณช้ากว่านี้ SMEs ทั้งหมดจะหมดแรง เขาจะเหนื่อยกับภาระที่พ่วงเขาอยู่ ถ้าคุณไม่ทำให้เขาตัวเบา ณ วันนี้ จะเสียการแข่งขันในอนาคต..ถาวร”
ถามว่าต้องทำอย่างไร ที่ทำให้ SMEs ตัวเบา หมออ๋องตอบว่า หลายเรื่องครับ ทั้งเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ เรื่องใบอนุญาต เวลาคุณเปิดร้านร้านหนึ่ง เทียบกับเวียดนามเขาใช้ 2 เดือน ไทยใช้ 6 เดือน เป็นเรื่องที่ต้องกีโยติน ตัดตอนให้ได้
กฎหมายที่ป้องกันการผูกขาดทางการค้า…ต้องมีเรื่องค่าไฟที่เป็นต้นทุน เช่น ผมทำฟาร์มกุ้งในประเทศ ค่าไฟเรา 6 บาท เวียดนามค่าไฟ 3.50 บาท ที่ไหนมีกำไรมากกว่ากัน ค่าไฟเป็นต้นทุนตัวเดียวเลยทำให้ขาดทุน นี่คือบทบาทรัฐบาลทั้งสิ้น
เส้นทางข้าวปั้นและซูชิ
หมออ๋อง เล่าเส้นทางการเป็น CEO Naeki Sushi ว่า Naeki Sushi จุดเริ่มต้นคือ เราอยากมีอาหารญี่ปุ่นที่ไม่ต้องนั่งที่ร้านและต้องรอนาน ๆ เพราะไลฟ์สไตล์ของคนใน กทม. โดยเฉพาะโซนเศรษฐกิจต้องการความเร็ว และต้องการของอร่อย ดีต่อสุขภาพ ผู้ก่อตั้งเล็งเห็นว่าปลาแซลมอน และอาหารญี่ปุ่นที่ทานง่าย ๆ ทำให้ วันดี ๆ เกิดขึ้นได้
เราต้องการเสิร์ฟอาหารและบริการให้กับ Busy Lifestyle เป็นคนที่อยู่ในเมือง ใช้จ่ายกับการกินสูงแต่มีเวลาน้อย อาจจะเกี่ยวข้องกับที่เขาต้องมีพลังในการทำงาน สังเกตได้จากร้านของเราอยู่ตาม BTS และ MRT ซึ่งขณะนี้เรามีสองแบรนด์ คือ Naeki Sushi เป็น Premium Delivery and Take Away มีสถานีที่ BTS สยามเป็นสาขาแรก และยังอยู่จนถึงปัจจุบัน ฝ่าวิกฤตโควิด-19 มาได้
อีกแบรนด์หนึ่งที่ตอบสนองความเร่งด่วนขึ้นมาอีก คือ Naeki Go คอนเซ็ปต์คือ Tokyo Grab and Go คนโตเกียวเร่งรีบและกินอาหารอย่างไร เราก็มาใช้ที่ กทม. จึงมี ข้าวปั้นโอนิกิริ ซูชิเซตที่ย่อมเยา ราคาไม่เกิน 200 บาท เพื่อสามารถบริโภคได้ทุกวัน
สิ่งที่คุณค่าที่แบรนด์นี้ยึดถือคือ ความเร่งรีบไม่จำเป็นต้องมากับการทำลายสุขภาพ เพราะส่วนใหญ่อาหารที่เร่งรีบคือ ต้องทอด ต้องมีสารกันบูดและสารมากมายมหาศาล มีอายุบนเชลฟ์ได้นาน แต่ของ Naeki มองว่าช่องว่างตรงนี้มีความต้องการสูง เพราะคนเร่งรีบ แต่ต้องการอาหารอร่อย เราจึงวาง Position ว่า Healthy Quick Service Restaurant เรื่องนี้ทำให้เราลงทุนเยอะ เพราะเราจะไม่เก็บสินค้าข้ามวัน จำเป็นต้องแพลนล่วงหน้าให้ดี ขายให้หมด และต้องวางแผนทำลายทิ้ง
เราทำงานเกือบ 24 ชั่วโมงในการผลิต เพราะต้องเริ่มงานตั้งแต่ตี 1 ตี 2 ในการปั้นข้าวปั้นให้กับลูกค้า เราทุ่มเท เราคิดว่าคุ้ม
“ผมเองเป็นหมอ แม้จะเป็นหมอสัตว์ แต่เราต้องขายของที่ไม่ดีต่อสุขภาพลูกค้า เราก็ไม่สบายใจ”
เตรียมตัวรับผลกระทบยุคทรัมป์
หมออ๋อง ยังต้องวางแผนรับมือกับการขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด์ ทรัมป์
“นโยบายทรัมป์ 2.0 เราก็ต้องรับมือ เพราะเราไม่ได้ใช้ของในประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การค้า ภาษี นโยบายของสหรัฐ กระทบกับต้นทุนมาก ๆ สำคัญที่สุดเราไม่รู้สงครามการค้าจะรุนแรงแค่ไหน เราต้องเตรียมรับมือไว้หลาย ๆ ทาง ถ้าเรามีพระเอกตัวเดียว คือแซลมอน ทันทีที่ต้นทุนขึ้น เราไม่สามารถขึ้นราคาหน้าร้านได้ เราจึงต้องมีพระเอกหลาย ๆ คน กระจายความเสี่ยง”
เป้าหมาย Naeki Sushi
หมออ๋องกล่าวว่า Naeki ผ่านมา 3 ช่วง ช่วงต้นเป็นช่วงที่ Naeki ได้รับความนิยมมากและเปิดสาขาด้วยตัวเอง 13 สาขา อยู่ในออฟฟิศใหญ่ ๆ และมีนักลงทุนต่างประเทศติดต่อไปลงทุนที่ต่างประเทศ เราจึงมีบริษัท Naeki International ไว้เรียบร้อย
เพราะ Urban ไม่ใช่เชียงใหม่ อาจเป็นเวียดนาม ในเมืองของสตาร์ตอัพ อาจเป็นสิงคโปร์ เป็นจาการ์ตา หรือกัวลาลัมเปอร์ เราสามารถไปหลายที่ได้ แต่พอเจอโควิด-19 จะต้องปรับตัวให้อยู่รอดได้ ซึ่งเราอยู่ในพื้นที่ Prime Area ค่าเช่าสูงมาก รวมถึงเกิดสงครามรัสเซียกับยูเครน ทำให้ราคาปลาแซลมอนจากนอร์เวย์พุ่งขึ้นสูงถึง 300% เราจึงต้องปรับตัวหลายอย่าง นักลงทุนที่ซื้อสาขาไปลงก็มีเงินน้อยลง
การเปิด Naeki Sushi อาจต้องมีเงิน 3-4 ล้านบาทต่อสาขา เราจึงคิด Naeki Go ขึ้นมา มีผลิตภัณฑ์ที่ถูกลง กินแล้วอยู่ท้อง การเกิดแฟรนไชส์จึงเกิดขึ้นในช่วงนี้ กลายเป็นพระเอกของเรา เพราะรูปแบบไปได้หลากหลายกว่า ตอนนี้ Naeki Go มี 16 สาขาแล้ว
“ผมคิดว่าคนพร้อมจ่าย ของที่ราคาถูกก็มีต้นทุนของมันที่ทำยังไงก็ได้ให้ต้นทุนต่ำ อยู่ได้นาน แต่ถ้าเราเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าที่พร้อมลงทุนให้สุขภาพของตัวเอง และชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นที่เรานำเข้าจากญี่ปุ่นแท้ ๆ ทั้งข้าว ซอส คนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วอยากกินอาหารญี่ปุ่นที่ดีขึ้น ก็ส่งเสริมกันและกัน”
ส่วนเป้ายอดขายปี 2568 “หมออ๋อง” กล่าวว่า เป้าหมายของเราอยากเป็นแบรนด์แฟรนไชส์ที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์การลงทุนที่ดีที่สุด เพราะประเทศไทยเปิดร้านอาหารเยอะ แต่ทำแฟรนไชส์ไม่ค่อยเก่ง เราเรียนรู้ค่อนข้างเยอะแล้ว เราจึงอยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นในการทำแฟรนไชส์ ไม่ใช่เพื่อบริษัทมีกำไรอย่างเดียว แต่นักลงทุนกับเราต้องคุ้มค่าที่สุด
เพราะถ้าเขากำเงินประมาณ 1 ล้านบาท เพื่อมีร้านอาหารของตัวเองโดยขอใช้ประสบการณ์จากเรา เนื่องจากการทำอาหารตั้งแต่ 0-100 บางคนทำไม่ไหว เพราะมีขั้นตอนเยอะมาก ๆ โดยเฉพาะ SMEs ไทยปัญหาเยอะ ใบอนุญาตก็เยอะ แต่ 10 ปีที่ผ่านมา เรามีประสบการณ์แล้ว ถ้าเรามีธุรกิจร้านอาหารได้ดี และคืนทุนให้คุณเร็วที่สุด อันนี้คือเป้าหมายของเรา
“ดังนั้น ตัวเลขยอดขายจึงไม่สำคัญที่สุด แต่เป็นประสบการณ์นักลงทุนที่มาลงทุนกับเราสำคัญที่สุด” หมออ๋องกล่าว