
สตง. ผนึกกำลัง ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เดินหน้า “ประเมินความเสี่ยงทุจริตเชิงนโยบาย” ในโครงการขนาดใหญ่ผนึกกำลังป้องกันการทุจริตเชิงรุกตั้งแต่ต้นทาง
นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า วานนี้ (5 มี.ค. 2568) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อปฏิบัติงานร่วมกันในการขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่
เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมธรรมาภิบาลขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ และเฝ้าระวังการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
โดยบันทึกข้อตกลงฉบับนี้เป็นการบูรณาการการทำงานของสามหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายและการพัฒนาเครื่องมือเฝ้าระวังการทุจริต
เพื่อให้โครงการขนาดใหญ่ดำเนินไปอย่างโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม พลังงาน และระบบสาธารณูปโภค เป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูงและมีความซับซ้อน การมีระบบประเมินความเสี่ยงการทุจริตที่แม่นยำจะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถระบุจุดอ่อน ลดช่องโหว่ และป้องกันการทุจริตได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ
“สตง. มุ่งมั่นที่จะยกระดับการตรวจสอบภาครัฐให้ทันสมัย ด้วยแนวทาง ‘การตรวจสอบเชิงป้องกัน’ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการทุจริตตั้งแต่ต้นทาง โดยจะทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลและช่วยให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานตรวจสอบของไทยพร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีและแนวทางการตรวจสอบสมัยใหม่ เพื่อนำประเทศไทยไปสู่มาตรฐานสากล
สตง. จะไม่รอให้เกิดความเสียหายแล้วจึงเข้ามาตรวจสอบ แต่จะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และเครื่องมือเฝ้าระวังเพื่อป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้น” ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินกล่าว
นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงานหลักในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนามาตรการ กลไก และเครื่องมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐและทุกภาคส่วนของสังคมมาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันได้พัฒนาและนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริตของ “ศูนย์ป้องปรามการทุจริตแห่งชาติ” (Corruption Deterrence Center ) หรือ “ศูนย์ CDC”
เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริตได้อย่างรวดเร็ว สามารถ ติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการทุจริตโครงการขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่าการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องของบุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบและความเสียหายต่อทั้งประเทศ การมีระบบประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายที่ดีจะช่วยให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์การทุจริตได้อย่างแม่นยำเพื่อเฝ้าระวัง ป้องปราม ป้องกัน และลดการทุจริตที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า ป.ป.ท. ในฐานะหน่วยงานหลักในการผลักดันและขับเคลื่อนเรื่องการประเมินความเสี่ยงการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐ และมีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นการทุจริตในภาครัฐ ได้นำเครื่องมือการประเมินความเสี่ยงการทุจริตมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อป้องกัน สกัดกั้น ลด และปิดโอกาสการทุจริตในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ พร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับ สตง. และ ป.ป.ช.อย่างเต็มที่ เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ทุกภาคส่วน ให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ
“บันทึกข้อตกลงฉบับนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการตรวจสอบภาครัฐ ซึ่งจะมุ่งเน้นการบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการพัฒนาระบบประเมินความเสี่ยงการทุจริตให้สามารถติดตาม ตรวจสอบ และให้คำแนะนำเชิงนโยบายได้อย่างทันท่วงที เพื่อสร้างประเทศไทยที่โปร่งใสและปราศจากการทุจริต”