“ประจักษ์” ฟันธง “ประยุทธ์” อยู่ครบเทอม 4 ปี

วันที่ 21 มิถุนายน 62 สำนักพิมพ์มติชน จัดงานและเสวนาเปิดหนังสือ “ประชาธิปไตยเมื่อไหร่จะตั้งมั่น” โดยมีวิทยา ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรมศาสตร์ โดยการเสวนาใครนี้มุ่งไปที่ประเด็น การสร้างประชาธิปไตย ที่เป็นปึกแผ่น การจะทำให้ระบบเผด็จการหายไป

การเลือกตั้งผ่านไป…ยังไม่สูญสิ้นระบบเผด็จการ

ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว แต่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยแบบ 100% ยังไม่สิ้นสุดระบอบเผด็จการ เป็นเพียงประชาธิปไตยแบบผสม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  ได้พยายามจะแปลงรูปจากระบบเผด็จการ 100% เป็นระบบเผด็จการน้อยลง เพื่อให้รับความชอบธรรมมากขึ้น แต่การพยายามที่จะแปลงรูปการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเกิดล้มเหลว  จากความพิสดารของกฏหมาย ทั้งการคำนวณสมาชิกผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือแม้แต่บทบาทของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนคนไทยและคนทั่วโลกตั้งคำถามถึงความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เป็นเหตุให้รัฐบาลใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขาดความชอบธรรม

สว.มีอำนาจมากที่สุดในโลก

ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ กล่าวต่อว่า รัฐธรรมฉบับนี้ ไม่ได้ร่างมาเพื่อสร้างประชาธิปไตยตั้งแต่ต้น แต่ร่างมาเพื่อการเปลี่ยนแปลงจากเผด็จการเต็มใบเป็นเผด็จการครึ่งใบ เมื่อชนชั้นนำรู้ว่า เมื่อมีประชาธิปไตยเต็มใบ ประชาชน มีสิทธิเสรีภาพ สื่อมีอำนาจในการตรวจสอบ จะทำให้อำนาจที่ได้มาจากการรัฐประหาร ใน พ.ศ. 2557 สิ้นสุดไป จึงจำเป็นที่ต้องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ให้อำนาจยังคงอยู่

ซึ่งโครงสร้างองค์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มาจากการยึดอำนาจและร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม อีกทั้งการกล่าวอ้างถึงทำประชามติที่ไม่ได้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม รวมถึงการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ทั้ง 250 คน ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี “เป็นการใช้อำนาจที่เปลือยเปล่าอย่างมาก”

“ส.ว. ของประเทศไทย เป็น ส.ว. ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก เนื่องจากไมได้มาจากการเลือกตั้งแล้วนั้น แต่มีอำนาจในการเลือกผู้นำฝ่ายบริหาร ซึ่งไม่มีประเทศไหนในโลกที่ให้อำนาจ ส.ว. มากขนาดนี้ มีอำนาจและอยู่ยาวกว่า ส.ส. ซึ่งในวาระเพียง4 ปี แต่ส.ว.อยู่ได้ถึง 5 ปี สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้อีกรอบ”

ซึ่งเป็นกลไกลที่แยบยล จากบทเรียนในอดีต เมื่อรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ กลับมาสู่การเลือกตั้ง ที่มีความไม่แน่นอน ที่จะได้กลับเข้าบริหารอีกหรือไม่ จึงต้องสร้างหลักประกันเพิ่ม แม้พรรคพลังประชารัฐจะไม่ถล่มทลาย แต่การมีกลไกล ส.ว. นั้น ทำให้อยู่รอดได้

หลายคนมักพูดว่า รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์สมัยที่ 2 อยู่ได้ไม่นาน เป็นการตัดสินใจที่เร็วไปจะพูดเช่นนั้น การดูแค่ ส.ส. ปริ่มน้ำนั้น อาจดูเหมือนไม่มีเสถียรภาพ แต่การมี ส.ว.ที่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้และคาดการว่าในอนาคต จะโหวตกฏหมายอื่น ๆ ได้ด้วย ถือเป็นกลไกลที่สำคัญอย่างมาก

พรรค ส.ว. พรรคที่มีเอกภาพที่สุด

ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ เผยว่า ส.ว.เปรียบเหมือนพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ที่เป็นเอกภาพที่สุดขอการเมืองไทยยุคปัจจุบัน ที่มี 250 เสียงในรัฐสภาไทย ซึ่งมากกว่ากว่าพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1

ในส่วนของ ผศ.ดร.ดุลยภาค มองว่า รัฐบาลขณะนี้เป็นรัฐบาลกึ่งแข่งขันกึ่งครอบงำ  ไม่เห็นด้วยกับการที่บอกว่า ส.ว. เหมือนพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง มองว่า พรรคการเมืองต้องมาจากการเลือกตั้ง มีการแข่งขัน  ส.ว.ที่เป็นการแปลงรูปของเผด็จการ ที่มีในหลาย ๆ ประเทศ บางรัฐ ที่มีความขัดแย้งมายาวนาน  ได้ใช้นวัตกรรมทางการเมือง การเนรมิตร ส.ว. ขึ้นมา

เพื่อให้มีการถ่วงดุลอำนาจขึ้นมา ใช้การลากตั้งเข้าไป เป็นอำนาจอภิสิทธิ์ เพื่อท่วงอำนาจคัดค้านกับพรรครัฐบาลเสียเปรียบ เมื่อโดนโจมตีในรัฐสภา และคิดว่าอำนาจอภิสิทธิ์เป็นสิ่งที่สำคัญ ในตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียหรือเมียนมา ก็ใช้โมเดลตัวนี้ ใช้พลังของทหารขึ้นมา แต่ส.ว. ไทยมีสิ่งที่พิเศษกว่า คือการทหารตั้งเข้ามา แต่อีกหลายส่วนภาคพลเรือน และสังคมที่อยู่ภายใต้ คสช. หรือ เสนาธิปัตย์ ทั้งหมด

บิ๊กตู่อยู่ครบ 4 ปี หรือมากกว่านั้น…

ผศ.ดร.ประจักษ์ มองว่า เป็นไปได้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ถึง 4 ปี คือ ครบเทอมโดยระบบคสช.ก่อนหน้านี้อยู่มาได้ถึง 5 ปี เป็นระบอบรัฐประหารที่ยาวที่สุดในโลกตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น ซึ่งไม่สามารถประเมินต่ำหรือประเมินตามใจปราถนาของเราได้ ดังนั้น การที่อยู่มา 5 ปี รวมถึงในตอนนี้ ยังมีกลไกลรัฐธรรมนูญปี 2560 ส.ว.แต่งตั้ง 250 เสียง องค์กรอิสระต่าง ๆ โอกาสที่จะอยู่ครบ 4 ปีมีสูง

ขณะที่ ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ธรรมศาสตราภิชาน ม.ธรรมศาสตร์ ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า รัฐบาลจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ นโยบายเศรษฐกิจจะเป็นตัวชี้วัด ถ้าเศรษฐกิจเคลื่อนคนชั้นกลางได้ ในแง่นี้คนที่กำหนดการเลือกตั้งของไทยได้ คือ คนชั้นกลาง เชื่อได้ว่าผลประโยชน์ ถึงมือคนแล้ว เห็นว่าอีก 4 ปีก็จะได้แบบนี้อีก คำตอบก็คือ “ถ้าทำเหมือนประเทศจีนได้ ร่ำรวยขึ้นทั้งประเทศ คุณจะปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์คนก็เอา”

ลุ้น 7 พรรคฝ่ายประประชาธิปไตย “ปฏิวัติผ่านคูหาเลือกตั้ง”

ผศ.ดร.ประจักษ์ เชื่อว่า ทั้งเพื่อไทยและอนาคตใหม่ ถ้ายังจับมือกันต่อไป จะมีศักยภาพในการนำประชาธิปไตยคนสู่ประชาชน หากทั้ง 7 พรรค ที่มีการลงนามสัตยาบัน เป็นแนวร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เอาเรื่องประชาธิปไตยเป็นเป้าหมาย ซึ่งเป็นสิ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน รวมถึงพรรคคเพื่อไทยในครั้งนี้ ยอมปรับเปลี่ยนหลายอย่าง ทั้งการสละตำแหน่ง ไม่รับตำแหน่งใดๆ ขอเพียงให้การสกัดกั้นการสืบทอดอำนาจได้

ซึ่งทำให้การเมืองไทยขณะนี้มีความคล้ายคลึงกับการเลือกตั้งของประเทศมาเลเซีย ที่แนวร่วมพรรคฝ่ายค้านที่มีเอกภาพอย่างมาก สามารถโค่นล้มพรรคฝ่ายรัฐได้ ซึ่งครองอำนาจมาเกือบ 60 ปี เป็นปรากฏการณ์ที่นักสังเกตการณ์ทางการเมืองเรียกว่า “การปฏิวัติผ่านคูหาเลือกตั้ง” เป็นการปฏิวัติโค้นกลุ่มอำนาจเดิม ผ่านพลังของประชาชน ด้วยการหย่อนบัตรเลือกตั้ง

“หาก 7 พรรคแนวร่วม ยังจับมือ ยังเข้มแข็ง การเลือกตั้งครั้งหน้า ยังเหนียวแน่นเช่นนี้ เป็นพรรคฝ่ายค้านที่ไม่มีผลประโยชน์แต่รักกันขนาดนี้ คิดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็มีสิทธิ ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาล ดูไม่รักกัน และไม่แน่ใจว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยจะยังร่วมรัฐบาลกับพรรรคพลังประชารัฐอีกหรือไม่ ยังคงมีคำถามใหญ่มาก” ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ กล่าว