ด่วน! นายกฯ ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุมโควิด มีผล 26 มี.ค.

ประยุทธ์ แถลง พ.ร.ก. รับมือ โควิด

วันที่ 24 มีนาคม 2563 เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการที่สำคัญ เน้นหนักในด้านให้ประชาชนจะมีเงินใช้จ่ายในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างประหยัด อย่างพอเพียง เพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้ รัฐบาลจะดูแลระยะเวลาหนึ่งจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย อาจจะ 2 -3 เดือน โดยจะมีมาตรการทยอยออกมาตามลำดับ ไม่ใช่ว่าทำครั้งเดียวแล้วจะจบ เพราะไม่ทราบว่าสถานการณ์จะยาวนานแค่ไหน จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3 ราย ผู้ที่มีอายุมาก 70 ปีขึ้นไป รักษาพยาบาลมานานพอสมควรแล้ว สธ.จะชี้แจงสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการดูแลเขาด้วย ถึงแม้จะมีโรคอย่างอื่นขึ้นมา โรคโควิดหายไปแล้ว แต่มีโรคประจำตัวอยู่ด้วย

มาตรการระยะที่ 2 จำเป็นต้องปรับให้กับสถานการณ์ จำเป็นต้องหาเงินที่เพียงพอ กำลังหามาตรการอาจใช้เงินกู้บ้าง เพราะงบประมาณ 63 ค่อนข้างจำกัด งบกลางจ่ายพอสมควรแล้วเหลือน้อยมาก ต้องหามาตรการมาเข้าระบบให้มากขึ้น จะจัดทำ พ.ร.ก.กู้เงินของกระทรวงการคลังเพื่อเตรียมการมาตรการระยะที่ 3 ที่ 4 ต่อไป จะดูแลประชาชนให้มากที่สุด ทั้งในส่วนสถานประกอบการเพื่อลดการ lay off พนักงาน มีมาตรการรองรับผู้ประกอบการให้เกิดสภาพคล่อง ทั้งภาษี ธนาคารรัฐจะเข้ามาอำนวยความสะดวกให้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลพิจารณามาโดยตลอดเรื่องประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 จะประกาศใช้ในวันมะรืนนี้ ได้หารือมาตรการอื่นๆ ที่จำเป็นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือจัดระเบียบการทำงาน ยกระดับศูนย์โควิด -19 เป็นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด -19 (ศอฉ.โควิด -19 ) ในการแก้ปัญหา โดยกระบวนการข้างล่างจะมีคณะทำงานสอดประสานกัน โดยมีปลัดกระทรวงของแต่ละภารกิจเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งจะติดตามมาตรการที่ประกาศไปแล้ว อาจมีการปรับปรุงแก้ไข หรือ เสนอมาตรการขึ้นมาเพิ่มเติมให้ตนอนุมัติ เพราะอำนาจกฎหมาย 38 ฉบับ ของทุกกระทรวงจะมาอยู่ที่นายกฯ เพื่อให้เกิดดำเนินการอย่างแท้จริง จะมีการประชุมทุกเช้า 09.30 น. โดยหัวหน้าส่วนดำเนินการทั้งหมด จะมารายงานการบริหารให้ทราบ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมก็จะออกเป็นข้อกำหนดต่อไป

“เมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สาระสำคัญที่สุดคือการจัดตั้งคณะกรรมการผู้รับผิดชอบภายในศูนย์ว่าจะจัดการกันอย่างไร ข้อกำหนดเราสามารถออกได้ตลอดเวลา ระยะที่ 1 คือทำอย่างไรที่จะลดการแพร่ระบาดในพื้นที่ต่างๆ อาจจะเป็นขั้นขอความร่วมมือ บังคับบ้าง แต่จะปิดจะเปิดเป็นมาตรการระยะต่อไป อาจจะเข้มข้นขึ้น ซึ่งขั้นอยู่กับความร่วมมือของประชาชน ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ข้อกำหนดเมื่อมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จัดตั้งคณะทำงานขึ้นรับผิดชอบ ข้อกำหนดอย่างที่ทุก ออกได้ตลอดเวลา ระยะที่ 1 จะประกาศในวันที่ 26 มี.ค. เป็นความจำเป็นต่อสุขภาพของประชาชนโดยรวม รัฐบาลมีความมุ่งมั่นเต็มที่ดูแลสุขภาพของประชาชนให้มากที่สุด ขอให้ร่วมมืออย่าเพิ่งเดินทางกลับภูมิลำเนา หากจะต้องกลับก็จะต้องเจอมาตรการการคัดกรองการตรวจสอบต่างๆ อีกมากมาย เช่นที่ทำมาโดยตลอดกับคนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ให้เวลาประชาชนปรับตัวไปด้วย

ขณะเดียวกันเน้นความสำคัญกักตัวในที่บ้าน กักตัวในพื้นที่ ถ้ามีความจำเป็นเราก็มีสถานที่กักตัวของรัฐเพิ่มเติมขึ้นถ้ามี ติดเชื้อจำนวนมากต้องหามาตรการอื่นๆ มารองรับ รพ.สนาม กักตัวขนาดใหญ่เป็น 100-1,000 คนจัดหาเวชภัณฑ์ต่างๆ ให้พอ มีการช่วยเหลือจากต่างประเทศเข้ามาแต่ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องมีการจัดหาจัดซื้อเพิ่มเติม แต่จะหาจากที่ไหน ในเมื่อเมื่อทุกประเทศมีความต้องการสิ่งต่างๆ เหล่านี้มากอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นการหารือในแต่ละวันใน ศอฉ. อย่าตื่นตระหนก ถ้าตระหนกก็มีปัญหา เราก็ต้องฟังรัฐบาล

นอกจากนี้ การให้ข่าวจะมีการให้ข้อมูลทั้งวันสื่อโซเชียลต่างๆ ตั้งแต่เช้าถึงเย็น มีช่องทางให้ประชาชนสอบถามให้ตรงกับเวลาดังกล่าว ส่วนวาระสรุปจะมีการสรุปประเด็นสำคัญในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม เมื่อประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินขอให้ระมัดระวังในการใช้สื่อโซเชียล การให้ข่าวสารบิดเบือน กฎหมายฉบับนี้จะแต่งตั้งเจ้าพนักงานทั้งหมด พลเรือน ตำรวจ ทหาร ในการจัดตั้งด่านตรวจ จุดสกัด กำลังการเตรียมความพร้อมต่างๆ ในการช่วยเหลือส่วนราชการในการทำงาน ประชาชนจึงต้องเจอกับจุดสกัดต่างๆ เหล่านี้ ค่อยปรับมาตรการต่างๆ เข้มงวดขึ้น ถ้าถ้ายังแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้ ก็จำเป็นต้องปิดล็อกต่างๆ ทั้งหมด ให้เป็นไปตามขั้นตอน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ฝากกับสื่อ ผู้ใช้โซเชียลจะได้รับการตรวจสอบทั้งสิ้น เจ้าพนักงานที่ได้รับการแต่งตั้ง ทุกคนมีอำนาจในทางคดีอาญา สามารถจับกุมดำเนินคดี ไม่ว่ากักตุนสินค้า การขึ้นสินค้า จะมีความเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ เข้าใจทุกคนรักประเทศ แต่ต้องรักในวิธีที่ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย และเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล