เศรษฐา ทวีสิน : วิพากษ์ 3 ข้อเสนอการเมืองใหม่ ไขวาระ “ประยุทธ์”

เศรษฐา ทวีสิน

“เศรษฐา ทวีสิน” บิ๊กบอส “แสนสิริ” กำลังเนื้อหอมในหมู่ชาวทวิตเตอร์ หลังทวีตแสดงความเห็นทางการเมืองและสังคมอย่างตรงไปตรงมา ควบคู่กับการทำงานอย่างหนัก เพื่อขับเคลื่อนองค์กรอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศ ท่ามกลางความยากลำบากในการทำธุรกิจ

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสนทนากับ “เศรษฐา” ในหลากหลายประเด็นร้อน โดยเฉพาะมุมมองที่มีต่อ 3 ข้อเสนอทางการเมือง

รัฐมนตรีคลังในฝันของคุณเศรษฐา

ผมว่ารัฐมนตรีคลังคนใหม่ คงเป็นคนที่ท่านนายกฯ ไว้ใจ เขาคงมีนโยบายที่จะขับเคลื่อนทางด้านเศรษฐกิจการคลัง อยากให้ตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า ให้กล้าที่จะคุยกับท่านนายกฯ ว่า ถ้าผมเข้ามาผมจะทำอย่างนี้ 1 2 3 4 5 แล้วถ้าตกลงรับตำแหน่ง เสนอเลยว่าให้พูดเลยว่าจะทำอย่างนี้ ให้รู้ว่าเป็นการตกลงกันไว้ ถ้าเชิญผมมา ผมจะทำอย่างนี้

กล้าที่จะขับเคลื่อนเรื่องของข้าราชการ ช่วยกันผลักดันเงินออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด เป็นคนที่จะต้องกล้าทำทุกอย่าง จริงๆ แล้วเรื่องสำคัญที่สุดก็คือว่า “ต้องทำเถอะ” มีเรื่องให้ทำเยอะมาก

วันนี้สถานภาพการคลังของประเทศ ถ้าเกิดเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ถือว่ายังดีอยู่ ที่บอกว่าหนี้สาธารณะจะถึง 60% แล้ว ช่วงโควิดทุกคนก็ขึ้นหมด ของเราเองก็สามารถขึ้นได้ 60% เป็นแค่กรอบเฉยๆ การที่จะต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจเลวร้าย คุณต้องมีกระสุน วันนี้คุณก็ต้องกู้ก่อน เพราะว่ารายได้ของประเทศลดลงจากการเก็บภาษี แต่มันต้องมีการกระตุ้นเกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรีอยู่มา 6 ปีแล้ว ประเด็นใดที่ต้องทำเพิ่มอีก

คงมีหลายประเด็นเหมือนกันนะครับผมว่า เรื่องของความไม่เท่าเทียมกัน คนจน ความเหลื่อมล้ำ ที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ แล้วผมคิดว่าโชคไม่เข้าข้างท่านตรงมีเรื่องของโควิดด้วย ก็เป็นอะไรที่น่าเห็นใจ เราในฐานะคนไทยด้วยกันก็ต้องช่วยกันหลายๆ มิติ เราเองเราก็ตระหนักดีถึงความลึกของปัญหาที่มันมีอยู่ในสังคมไทยด้วย

อย่าเอาแต่ความมันส์ปาก ความสนุกสนานในการประชดกระแทกแดกดัน ผมว่ามันไม่ใช่ แต่บางทีมันก็ต้องมีบางมุก ซึ่งบางทีท่านก็ต้องเข้าใจเหมือนกัน ว่าปัญหามันมีจริงๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องของ เห้ย อยู่คนละฝ่ายกัน ผมไม่ถือว่าผมอยู่คนละฝ่ายกับท่าน ผมถือว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน เราอยากเห็นประเทศเดินไปข้างหน้าได้ แต่ปัญหามันมี ท่านทราบหรือเปล่า

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วงโควิด

ผมว่าเรื่องของโควิดเป็นเรื่องที่ทั่วโลกประสบปัญหา เมืองไทยจริงๆ แล้ว ต้องขอบคุณระบบสาธารณสุขทั้งหมด ทั้งท้องถิ่นด้วย ตอนที่เกิดปัญหามา เราร่วมแรงร่วมใจกันกำจัดมันไปได้พอสมควร กำจัดคือหมายความว่าให้มันจบอยู่ตรงนั้น ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึงวันนี้ เกือบไม่มีนิวเคสเลย ทำให้จริงๆ แล้ว เราเป็นประเทศที่แก้ไขโควิด เชื่อว่าเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

แต่ว่าเราไม่มีโควิดมานานมากแล้ว จากจุดที่เราไม่มีมา เรามีการไปทำอะไรหรือเปล่า ที่ทำให้ไปให้ไกลกว่าจุดนั้น ต่างชาติยังมีอยู่เลย อินเดียวันละแสนคน เราไม่มีมาแล้วเป็นเวลากว่าร้อยวัน จากวันที่เราเริ่มไม่มีมา เราได้ทำอะไรกันมากขึ้นหรือเปล่า ผมอยากเสนอแนะตรงนี้ ว่าจริงๆ แล้วเราควรต้องทำอะไรกันมากกว่านี้หรือเปล่า

คำว่า bubble tourism โผล่ออกมา 2 สัปดาห์ เปิดมาก็หายหมด บอกว่าจะเปิดเกาะภูเก็ตก็ถูกแรงต้าน ก็หายหมด อันนี้เป็นข้อหนึ่งที่ผมเห็นใจท่านนายกฯ ประยุทธ์นะ ว่าถ้าเกิดเปิดประเทศไปเต็มที่ขึ้นมา แล้วมีโควิด ใครรับผิดชอบ ตอบไม่ได้เหมือนกัน

แต่ผมว่ามันมีหลายๆ อย่างที่ทำได้ ที่ไม่เกี่ยวกับโควิด โควิดเป็นต้นเหตุ ปลายเหตุคือเศรษฐกิจแย่ วันนี้คุณยังจัดการโควิดไม่ได้ จะเปิดครึ่งหนึ่ง ไม่เปิดครึ่งหนึ่ง ต๊ะไว้ก่อน แต่เรื่องเศรษฐกิจคุณสามารถทำได้ ตอนที่เริ่มมีปัญหา ที่มีการปิดประเทศ มีการปิดศูนย์การค้า เคอร์ฟิว เราเริ่มมีการจ่าย 5 พันบาท 3 เดือน หมดเงินไปกี่แสนล้านผมจำไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่มีใครตายเลยนะ ยังไม่มีใครเป็นอะไรเท่าไหร่ เศรษฐกิจยังไม่เดือดร้อนขนาดนี้ วันนี้กับวันนั้น วันนี้เดือดร้อนเยอะกว่า คุณทำอะไรไปแล้วบ้าง จะจ่ายอีก 3 พัน ต้องจ่ายอีกนานขนาดไหน

เข้าใจว่าเรื่องของการเยียวยา ชนชั้นผู้น้อยต้องได้รับการเยียวยาบ้าง แต่คู่ขนานกันไป มันต้องทำอะไร ผมเขียนไปถึงท่านนายกฯ แล้ว หนึ่งในข้อนั้นคือเรื่องของ คนส่วนมากของประเทศ อาชีพคือเกษตรกรรม เป็นเกษตรกรเสียส่วนมาก เรามีเรื่องของราคาพืชผล ซึ่งอาจจะขึ้นลง ทำให้อาจจะปลูกมาแล้วไม่ได้กำไร แล้วแต่พรรคไหน คุณจะเรียกว่าอะไร จะเป็นจำนำข้าว ประกันข้าว หรือจะเป็นจ้างผลิตก็ตามที

มันเหมือนกันก็คือ การที่เราทำประชานิยมนั่นเอง คือเราไปการันตีว่าส่วนหนึ่งคุณผลิตมา แล้วคุณขายได้ราคาหมื่นห้า อะไรอย่างนี้ ผมว่ามาตรการนี้ต้องออกมาอย่างชัดเจน แล้วต้องออกไปอย่างให้มีความยั่งยืนด้วย ประกาศไปเลยว่า 2 ปีข้างหน้านี้ สินค้าหลักของประเทศ ผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง มี ข้าว ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด สมมติมี 5 อย่าง คุณรับประกันไปเลยในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ให้คนเขามีกำลังใจในการที่จะลุกขึ้นมาทำงาน ให้มีผลผลิต เพราะอย่างน้อยก็ยังไปขายต่อได้ ไม่ใช่เขานั่งอยู่ทุกวันแล้วคอย Hand out 3-5 พันบาท หรือหมื่นบาท

เรื่องดอกเบี้ย คุณลดได้ ลดดอกเบี้ยไปคุณก็อย่างน้อยก็เอาเงินใส่กระเป๋าคน แต่ทำให้คนเอาเงินออกจากกระเป๋าน้อยลง เพราะรายจ่ายหลักของเราคือดอกเบี้ย คุณต้องลดดอกเบี้ย จะด้วยวิธีอะไรก็ตามคุณลดดอกเบี้ยให้ได้

เอสเอ็มอีก็ต้องช่วย สเตปแรกที่เขาทำมาก็ดีคือพักหนี้ก่อน แต่ปัญหาของเอสเอ็มอีมันหยั่งรากลึกเหลือเกิน เป็น Single product เอย เป็นเรื่องของไม่มี innovation มาก่อน ผมว่านี่เป็นปัญหาที่ใหญ่ ที่ต้องการการแก้ไขระยะยาว ต้องการการพัฒนา ไม่ใช่แค่ freeze ดอกเบี้ยอย่างเดียว ต้องการแหล่งเงินทุนใหม่ ที่ต้องอัดมาด้วย

ที่คุยมาทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโควิดเลยนะ มันต้องทำของพวกนี้ก่อน ต้องทำอย่างรวดเร็ว

เรื่องของ ชิม ช้อปใช้ เรื่องการโปรโมทให้คนไปเที่ยว ท่านนายกฯ รู้หรือเปล่า ว่าคนไม่มีเงินในกระเป๋า สอง กำลังใจที่จะไปท่องเที่ยว มันไม่มี อันนี้ไม่ได้ต่อว่าท่าน เพียงแต่ก่อนที่จะมีการนำไปใช้ มันต้องมีเงินในกระเป๋าก่อน มีเงินในกระเป๋ากับกำลังใจ ความสบายใจในการใช้เงิน 

เมื่อกี้ก็พูดกับทีม จังหวัดที่ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ที่มีคนไปเที่ยวได้ ขับรถไปเที่ยวได้ เขาใหญ่ พัทยา หัวหิน เหตุผลหลักที่คนไม่อยากไปคืออะไร คนเยอะ รถติด เหตุผลหลักคือรถติด

มันคือ pain point ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่มีใคร address ผมอยากจะฝากไปว่า ถ้าคุณจะออกวันหยุด คุณต้องออกมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

รัฐบาลมีเงิน แต่ทำไมจึงมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงิน

ผมไม่ทราบปัญหาคืออะไร แต่คิดว่าท่านนายกฯ คงติดอะไรบางอย่าง ผมไม่แน่ใจ ติดข้อกำหนดทางด้านงบประมาณ ทางด้านตัวเลขหรือเรื่องของการผันเงินออกไปจากกระทรวงการคลัง ผมไม่ทราบ ผมถึงบอกว่าผมไม่ได้พูดอย่างประชดประชัน ผมถึงบอกว่าผมเคารพ ว่าเหตุผลที่ท่านทำไม่ได้ คงต้องมีบ้าง เพราะเรื่องเหล่านี้ทุกคนรู้ เพียงแต่ว่าคนที่อยู่ในวงใน คนที่เข้าใจว่าทำไมเงินถึงไม่ผันออกไป ปัญหาอยู่ตรงไหน

เป็นเพราะนายกรัฐมนตรี กำทุกปัญหาไว้ในมือ ทั้งที่มีพรรคร่วมรัฐบาลถึ 20 พรรค หรือไม่

อันนี้ก็เป็นองค์ประกอบอันหนึ่งที่ทำให้มือท่านถูกมัด ถ้าเกิดเป็นพรรครัฐบาลที่มีเสียงข้างมากพรรคเดียว กระทรวงเศรษฐกิจหลักก็ถูกคุมโดยพรรคเดียว รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจก็ต้องคุมทุกกระทรวงเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม พาณิชย์ คลัง

อันนี้คุณดูสิ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ คุมกี่กระทรวง (ยกนิ้วขึ้นมา 2 นิ้ว) พลังงาน คลัง มันก็ประหลาดๆ นิดหนึ่ง

มันเป็นขีดจำกัดของพรรคร่วมรัฐบาล ทางด้านกายภาพเรื่องขององค์ประกอบของรัฐบาล มันก็เป็นอะไรที่มัดมือท่าน ผมถึงได้บอกว่าผมก็เห็นใจ

แต่ว่าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ท่านอาสามาทำแล้ว ท่านต้องทำให้ได้ ไม่ใช่มาอธิบายว่าทำไมถึงทำไม่ได้

นายกรัฐมนตรีมีเวลาอธิบายอีกนานแค่ไหน

ถ้าเมื่อไหร่ท่านพูดคำนี้ ท่านหมดแล้วครับ ผมก็บอก จะใช้คำว่าลูกน้อง จะใช้คำว่าเพื่อนร่วมงานของผมก็ตามที อย่าอธิบายให้ผมฟังว่าทำไมถึงทำไม่ได้ เรามาอยู่ตรงนี้ด้วยกัน บอกมาดีกว่า ทำไงถึงทำให้ได้ คุณไม่ได้ถูกจ้างมา หรือผู้ถือหุ้นเขาไม่ได้จ้างเรามา ให้เรามาอธิบายว่าทำไมเราถึงทำไม่ได้ ทำไมเราถึงขายไม่ออก อ้างนู่นอ้างนี่เยอะแยะไปหมด เราถูกจ้างมาให้ทำให้ได้

โตๆ กันแล้ว เป็นผู้ใหญ่ วันนี้มันต้องเข้าใจว่า อาสาเขามา มีความหวังดี มีความปรารถนาดี ต้องทำให้ได้ ทางใดทางหนึ่งต้องทำให้ได้ เราเองก็คอยอยู่ เป็นกำลังใจให้ เราเองมีอะไร เราก็เสนอแนะไปด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เอาเรื่องของวลีมาทำร้ายซึ่งกันและกัน มันไม่ใช่หรอกผมว่า ทุกวันนี้ประเทศมันบอบช้ำมาเยอะมากแล้ว โดนโควิดเข้าไปอีก ไม่รู้จบเมื่อไหร่

อย่างที่ผมแยก เรื่องปัญหาโควิด ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ เห็นใจ แต่ปัญหาอื่นที่มันทำได้ ก็รีบทำซะ ผมว่ารีบๆ ทำซะ หลายคนคอยอยู่

ความเห็นต่อ 3 ข้อเสนอ

แก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา ลาออก 3 อันใช่ไหมครับ ผมว่าเอาเรื่องแก่นสารก่อนดีกว่า เรื่องของรัฐธรรมนูญ คงไม่ต้องลงรายละเอียดว่ามีมาตราไหนอะไรบ้าง ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญวันนี้มีข้อที่ประชาชนไม่ยอมรับอยู่พอสมควร เพราะฉะนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นสเตปแรก ที่ฝ่ายรัฐบาลต้องยอมรับก่อนว่าเป็นเรื่องที่นำมาแก้ไข ไม่ใช่แค่ฟังอย่างเดียว ต้องมีความจริงใจด้วยในการแก้ไขจริงๆ เพราะว่าหลายภาคส่วนเองก็มีการพูดกัน ว่ามันมีข้อเสียตรงไหนบ้าง อะไรที่มันพอทำได้ อะไรที่มันไม่ขัดกับความเป็นไทย ผมว่าทำซะ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าถามผม เรื่อง ส.ว.เลือกนายกฯ ผมไม่เห็นด้วยแน่นอน ผมไม่เห็นด้วยที่คน 200-300 คน จะมีอำนาจเหนือคนธรรมดาทั่วไป คือมันขัด อันนี้มันก็เป็นความเหลื่อมล้ำอันหนึ่งเหมือนกัน

ผมว่าต้องแก้ แล้วก็จริงใจอันแรกคือการเลือก ส.ส.ร. ต้องเป็นคนที่เป็นตัวแทนของทุกภาคส่วนจริงๆ ไม่ใช่คนที่สั่งได้ เพราะไม่อย่างนั้นปัญหามันก็กลับมาอีก เรื่องเดิมๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ผมว่าอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมเห็นด้วยนะ ส่วนมาตรการไหน รายละเอียด คงต้องไปคุยกัน

แต่สำหรับผม เรื่อง ส.ว.เลือกนายกฯ ได้ ผมไม่ค่อยเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเลยดีกว่า

ก็ถ้าเกิดตั้ง ส.ส.ร.ได้แล้ว มันก็ต้องลาออก ยุบสภา เป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ ตามกฎหมายใช่ไหม แต่ว่ามันก็ต้องมีอีกนะ ไม่ใช่จะเอามันส์อย่างเดียว 3 ข้อ แล้วถามว่าใครมา ลาออกไปแล้ว ใครมาทำ บุคคลที่จะมาทำ ถ้าเกิดจะมาก็ต้องรีบเสนอตัวกันมา รีบนำความคิดความอ่านมาเผยแพร่สาธารณชน เพื่อให้รู้ว่าคุณคือตัวแทนนะ คนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะมา

ผมว่าประเทศไทยมาถึงจุดๆ นี้ได้ โดยที่มีความเห็นขัดแย้งกันเยอะพอสมควร แต่ก็ยังอยู่กันได้ด้วยความสงบ ผมเชื่อว่าก็เป็นอะไรที่น่ายินดีอยู่ ซึ่งเราก็ยังคุยกันได้ และก็อยากให้คุยกันได้อย่างสันติวิธี ยึดกฎหมายเป็นที่ตั้ง ทำอะไรมีขั้นมีตอน ผมว่าก็ยังเป็นแสงสว่างในอุโมงค์

ผมไม่เห็นด้วยอยู่แล้วเรื่องคุกคาม เรื่องสิทธิเสรีภาพในการพูด ผมว่าต้องรับฟัง แต่เรื่องก้าวร้าว พูดอะไรที่ผิดกฎหมาย เรื่องที่ด่าทอกัน ใช้คำหยาบคาย ปลุกปั่น ปลุกระดม ผมไม่เห็นด้วยครับ แต่ถ้าพูดกันอย่างมีเหตุมีผล เรียกร้องกันอย่างสันติวิธี ใช้เหตุผลในการอธิบายความต้องการของตัวเอง ผมคิดว่าเป็นอะไรที่ควรสนับสนุนให้ทำ เรื่องคุกคาม ไม่ได้เด็ดขาด ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด ด้วยประการทั้งปวง ผมว่าทำไม่ได้ แล้วคนก็ไม่ยอมด้วย ส่วนมาก

แต่คนพูดก็ต้องมีเหตุมีผลนะครับ อย่าใช้คำพูดที่ไม่สุภาพ หรือว่าก้าวร้าว เพราะอย่างน้อยสังคมไทยก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องการเคารพตรงนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน คุณเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แต่ก็ต้องเคารพในแง่ของการที่เราต้องมีความสุภาพด้วยเหมือนกัน

คุณเศรษฐาสนใจงานการเมืองหรือไม่

ตอนนี้ไม่เคยคิดที่จะไปเล่นการเมืองนะ ไม่มี ไม่เคยคิดจะไปเล่นการเมืองเลย จริงๆ แต่ว่าก็อยากจะมีส่วนในการให้คำปรึกษาหรือให้คำแนะนำกับใครก็ตามที่ที่มาบริหารประเทศ ให้มุมมองจากนักธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมภาคหนึ่ง แล้วก็อยากให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่มันใหญ่โตไปกว่านั้น ไม่มี ยืนยันว่าไม่มีแน่นอน

คนการเมืองแบบใดที่คุณเศรษฐาอยากให้คำปรึกษาและสนับสนุน

ผมอยากให้คำปรึกษาหมด ผมไม่สนนะว่าคุณอยากฟังผมหรือไม่อยากฟังผม ผมถือว่าถ้าคุณขึ้นมาสูงสุดได้ จะเป็นท่านนายกรัฐมนตรีก็ตามที ผมไม่ทราบท่านชอบผมหรือไม่ชอบผม จริงๆ แล้วผมไม่สนใจนะ แต่ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องของ “ความ” ไม่ใช่เรื่องของ “คน” เพราะฉะนั้นท่านต้องฟัง คือผมไม่สน ผมคิดว่าสิ่งที่ผมพูด ผมมีความหวังดี อาจจะถูกหรืออาจจะผิดก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ผมอยากจะแสดงความจริงใจ ว่าผมมีความตั้งใจจริงที่จะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ผมก็จะให้คำแนะนำ

ส่วนคนที่จะ support อันนี้อีกเรื่องหนึ่งนะ ต้องเป็นคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คุยแล้วเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาตรการภาษี การกินรวบ ลดช่องว่างระหว่างรายได้ ถ้าเกิดเป็นคนที่ผมพูดมาตลอด ถ้าเกิดเป็นคนที่คุยด้วยกันแล้วไปด้วยกันได้ ผมก็อยาก support ซึ่งถามว่าปัจจุบันนี้เจอไหม ยังไม่ค่อยเจอเท่าไหร่นะ

พรรคการเมืองในใจ

ไม่มีเลย ยังไม่มีเลยครับ รู้จักหลายคน เขาเองก็อาจจะเห็นตรงกับผม แต่เขาก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน พอบอกขึ้นภาษีมรดกไป ผู้สนับสนุนพรรคบางคนก็อาจจะไม่ชอบก็ได้ อยากจะเจอคนที่กล้าไปข้างหน้า กล้าพูด กล้าชนจริงๆ แล้วเราค่อยมาว่ากันแล้วกันพ