อนุชา นาคาศัย จากราชาเงินหมุน สู่ เงินจากดิน

อนุชา นาคาศัย จากราชาเงินหมุน สู่ เงินจากดิน

หากพูดถึง “ทีมเศรษฐกิจ” ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตั้งแต่ “ทีมสมคิด” ที่มี “สี่กุมาร” เป็นฟันเฟืองเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งในพลังประชารัฐ-ทำเนียนรัฐบาล ถูก “ขับออกจากพรรค”

“หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ของพลังประชารัฐ ก็ถูกเปิดหน้า-เปิดตัว ออกมาถึงแม้สุดท้ายจะกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” สังคมวิพากษ์วิจารณ์ฝีไม้ลายมือ หรือ จะเรียกว่า “ทัวร์ลง” อยู่หน้าสื่ออยู่พักใหญ่

อย่างไรก็ดี “ทีมเศรษฐกิจ” ในพรรคประชารัฐ หลังจากมีการปรับครม.ประยุทธ์ 2/2 ขุนพลเศรษฐกิจพลังประชารัฐ เข้าประจำการเก้าอี้เสนาบดี แต่ละกระทรวงที่ออกมา เช่น กระทรวงแรงงาน แม้กระทรวงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี งานที่ออกมาถือว่า “เข้าตา” พล.อ.ประยุทธ์ เพราะสามารถลบคำปรามาสว่า นักการเมือง “บริหารงานไม่เป็น” ได้

“อนุชา นาคาศัย” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่มานั่งเก้าอี้ “รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” หลังจาก “ผ่านโปร” ทำงานมา “ครบ 3 เดือน”

ล่าสุดได้รับมอบหมายภารกิจจาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้เป็นประธานอนุกรรมการพัฒนาอย่างยั่งยืน

“อนุชา” เตรียมเสนอ มาตรการอุดหนุนผลผลิตทางการเกษตร 5ชนิด ภายใต้ชื่อโปรเจ็กต์ “เงินจากดิน” เพื่อขับเคลื่อน “กำลังซื้อ” เกษตรกรครั้งใหญ่ โดยนำผลผลิตออกจากตลาดส่วนหนึ่ง ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโครงการประกันราคายังมีอยู่ เป็นเพียงมาตรการเสริม

“ใช้เงินไม่เยอะอย่างที่คิด ไม่เกิน 3-4 แสนล้านบาท คำนวณจากปริมาณผลผลิต เพื่อสร้างมาร์จิ้นให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน เพราะเป็นตัวหลักที่จะ drive เศรษฐกิจ เพราะเกษตรกรเป็นกำลังซื้อหลักของประเทศที่อยู่ในทุกหัวระแหง โดยมีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะเพื่อ drive เศรษฐกิจของประเทศ”

“อนุชา” เชื่อหมดหัวใจว่า ภาคเกษตรคือกำลังซื้อหลักของประเทศ ภาคเกษตรไม่มีเงินไม่เกิดกำลังซื้อ กำลังซื้อหลักของประเทศ คือ เงินจากดิน เป็นตัวเลขไม่มากแต่ใช้ทั้งประเทศ เป็นตัวเลขอยู่ที่หลัก 1.6 ล้านล้าน หรือ 6-8 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องสร้างมาร์จิ้นภาคการเกษตรให้ได้ เพื่อช่วยให้เป็นกำลังซื้อของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจในประเทศแข็งแกร่งและหมุนเวียน เอสเอ็มอีอยู่รอด รัฐบาลเก็บภาษีได้

“เราต้อง Subsidize แต่ต้องใช้ให้คุ้มค่า ลงไปแล้วเกิดมาร์จิ้นเพิ่มกำลังซื้อ ไม่ใช่เพียงใช้จ่ายในครัวเรือน ไม่ได้ เพื่อให้ทุกองคาพยพลงไป ตูม พรุ่งนี้ออกไปจับจ่ายใช้สอยในตลาดได้ สิ่งที่ตามมา คือ รัฐสามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีนิติบุคคล”

“ประกันรายได้มีแต่เจ๊ง แต่ความเป็นรัฐบาลต้องทำ ทำไม่ได้เพราะอะไร การซื้อขายข้าว หรือ ผลผลิตทางการเกษตร พ่อค้าต้องการซื้อถูกเพื่ออย่างน้อยไม่ให้ขาดทุน ต้องซื้อให้ถูกที่สุดเท่าที่จะซื้อได้ นี่คือพ่อค้า เพราะไม่อยากขาดทุน”

“ระบบที่ไม่มีการแทรกแซงในกลไกภาคเกษตร ราคาผลผลิตจะตกลงเรื่อย ๆ ไม่มีใครแข่งกันซื้อแพง ไม่มีทาง ผลผลิตทางการเกษตรมีที่เก็บไหม จำเป็นต้องรีบขายไหม ไม่ใช่ทองคำ ไม่ใช่เหล็กที่เก็บไว้แล้วไม่บูด ไม่เน่า ไม่เสีย”

“อนุชา” อดีตขุนพลไทยรักไทย-พรรคสำนักงานใหญ่ของพรรคเพื่อไทย “เจ็บปวด” กับคำว่า “จำนำข้าว” จนเขาต้องปัดป้องวาทะกรรมที่จะมาสั่นคลอนความตั้งใจ เพราะเมื่อทันทีที่แนวคิดโครงการนี้ออกมา ย่อมมีทั้ง “ดอกไม้และก้อนอิฐ”

“อย่าไปเรียกจำนำ แทรกแซงผลผลิตทางการเกษตรต้องมี เพื่อให้มีคู่แข่ง เอาซับพลายออกจากตลาด 30 เปอร์เซ็นต์ ราคาพอแข่งกันได้ เรียกว่าชี้นำราคา ยังไงก็ต้องทำ”

“อนุชา” ยังบอกด้วยว่า นอกจากนี้ต้องทำควบคู่กับมาตรการพักชำระหนี้ เพื่อให้เม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจจริง และต้องจัดการหนี้นอกระบบที่มีทุกหย่อมหญ้าอย่างเด็ดขาด คำจำกัดความของหนี้นอกระบบ คือ “อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ” รัฐต้องจัดการและลงโทษสถานหนัก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะตามมาในอนาคต คือ เกษตรยุคใหม่ เกษตรผสมผสาน

“อนุชา” เล่าย้อนชีวิตก่อนสุขสบาย-สวมหัวโขนเป็นถึงเสนาบดีครั้งแรกในชีวิตนักการเมือง เคยใช้ชีวิตโลดโผน ตั้งแต่ยังไม่เดินเข้าสู่ถนนการเมือง เป็น “ราชาหมุนเงิน” หาเงินในเป็นแสนตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ ลองมาหมดทั้งเป็น “พ่อค้าขายตุ๊กตา” งานสวมอัมพร-เกษตรแฟร์ และเป็นคนแรก ๆ ที่คิดค้นธุรกิจ “แฟรนไชส์”

“ชีวิตผมผ่านมาหมดแล้วในเรื่องของการหมุนเงิน ในเรื่อของการทำธุรกิจ ผมนอนกลางสวนอัมพร เพื่อขายของ ผมนอนที่สวนเกษตรแฟร์เพื่อขายของ เพราะผมต้องทำงานด้วย เรียนด้วย ช่วงที่ผมเรียนตอนปี 2545 เรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ปี 2 ผมสองคนกับพี่สาว ช่วงแค่ปลายปี ผมหาเงินได้เป็นแสน ขายตุ๊กตา สมัยก่อนนี้”

ช่วงปีใหม่จะขายดี เราก็รับเขามาตัดเย็บ ส่วนหนึ่งอยากมีรายได้เพิ่มก็ไปขายตามงานสวนอัมพร งานเกษตรแฟร์ เมื่อก่อนถ้าใครทันนี้ จะมีตุ๊กตาหมาที่เป็นกล่องกระดาษเช็ดชู คือผมทำ ผมเป็นคนติดตาหมา

“ผมคิดแฟรนไชส์ได้ตั้งแต่ผมอายุ 17 ปี ผมเป็นเด็กค่อนข้างแปลกกว่าคนอื่น ผมเป็นนักคิด เพราะบ้านผมคนจน ผมเป็นคนอยากจน เกิดในตลาด แต่ความคิดของผม คือ ถ้าสามารถระดมทุนได้สัก 4-5 หมื่น เงิน 4-5 หมื่นจะเป็นทำเป็นเงินล้านได้ยังไง ผมก็คิดไว้ตั้งแต่เด็ก”

“อนุชา” เริ่มเล่าวิธีคิดแบบ “เถ้าแก่น้อยร้อยล้าน” จากเด็กยากจน-ลูกคนจีน-อยู่ตลาด เล่นแชร์-เปียหวย ใช้ชีวิตโลดโผน ก่อนเข้าสู่ชีวิตทางการเมือง ว่า จะทำเป็นเงินล้านได้ยังไง สมมุติเราขายก๋วยเตี๋ยว วันหนึ่งให้เราขยันให้ตาย เราก็ได้แค่วันละ 500 บาท เมื่อก่อน 500 บาทก็หรูแล้ว สำหรับวิธีคิดของคนบ้านนอก เราทำให้ตายเราก็ขายได้ 500 บาท ขยันให้ตาย เช้ายันเย็นเราก็ขายได้ 500 เต็มที่ 600 700 พันหนึ่ง นั่นคือ ขีดจำกัดของมนุษย์ ขีดจำกัดของเวลา เพราะฉะนั้น เราจะทำอย่างไรให้เป็นเงินล้านได้

“เราก็ให้คนอื่นขายแทน ถ้าทำรถเข็ญ สมัยก่อนรถเข็นคนหนึ่งก็สัก 3,000 4,000 อยู่ตลาด เล่นแชร์ เปียหวย ได้ 50,000 ก็ทำได้ 10 กว่าคันละ 10 กว่าคัน เอาแค่กำไรคันละ 200 สมมุติทำได้ 10 คัน เป็นเงิน 2000 ทำ 2 วัน ได้รถอีกคันหนึ่ง แปบเดียวเป็น 100 คัน 100 คัน ก็เท่ากับวันละ 20,000 วันละ 20,000 ผมมองเห็นเงินล้านแล้ว”

“ผมโชคดีเกิดในตลาด เป็นลูกคนจีน กว่าผมจะเดินผ่านตลาด ผมยกมือไหว้แม่ค้าหมดเลย เพราะผมกลัวเขาว่าผมหยิ่ง ยิ่งผมมาอยู่กรุงเทพฯ ผมทักทายหมด เวลาใครมาซื้อของกับผม ผมมีของแถมแน่ บ้านผมขายยา ซื้อฮอลล์ ร้านอื่นขาย 4 เม็ด ผมขาย 5 เม็ด”

อย่างไรก็ดี แม้ “อนุชา” จะใช้ชีวิตโลดโผน แต่เขามี “หลักยึด”อยู่เพียง 3 ข้อ 1.ซื่อสัตย์ 2.ไม่ขี้อิจฉา และ 3.มองโลกในแง่ดี จนเข้ายอมรับตรง ๆ ว่า “ได้ดีเพราะเพื่อน”

“ชีวิตผมเป็นคนโลดโผนมาก ๆ ในชีวิตวัยเด็กของผม ก้าวมาด้วยความคิดและผมมีอุดมคติว่า เมื่อเราไม่รวย เราจะต้องมีความซื่อสัตย์ เราจะต้องไม่ขี้อิจฉา เราต้องมองโลกในแง่ดี”

“เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมยึดมา 3 อย่าง มันสร้างเครดิตให้ผม ทำให้เพื่อนสามารถจูงมือเราขึ้นมาได้ เมื่อเราไม่อิจฉา เพื่อนเราได้ดี ส่งเสริมเพื่อนเราให้ได้ดี วันหนึ่งเพื่อเราก็ดึงมือเราขึ้น ผมได้ดีเพราะเพื่อนจริงๆ”

นอกจากเป็น “นักคิด” และ “หัวไว” ในด้านการค้าแล้ว “ด.ช.อนุชา” เล่าวีรกรรมขาสั้น สมัยเรียนโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)

“ผมเรียนที่ต่างจังหวัดและเข้ามาเรียนจากโรงเรียนบดินทรเดชา กับเพ้ง (พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล) ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาแล้วผมไม่กลัวอะไร ผมชวนเพ้งไปขออาจารย์ย้ายห้องตั้งแต่สอบเข้าได้ เพราะเรียนไม่มีชีวะ ผมอยากเรียนมีชีวะ”

“ผมก็ถามเพ้ง เห้ย ไปไหม ไปขออาจารย์ใหญ่ย้ายห้องกัน ก็ไปกันสองคนทั้งที่แทบไม่รู้จักกัน จนภรรยาผมเป็น (พรทิวา นาคาศัย) เป็นรัฐมนตรี ครูไม่เคยตีผม เพราะผมไม่ยอมให้ครูตี”

ชีวิตโลนโผนที่สุดตอนไหน ?

“สมัยวัยรุ่นที่นี่ (กรุงเทพฯ) ผมเป็นคนเอาเรื่องมาก ๆ แต่เพื่อนผมในกรุงเทพฯที่เป็นคนดัง ๆ ที่อยู่กับผมรู้หมด แต่ถ้าเป็นช่วงเป็นนักการเมืองไม่มี เพราะผมทำในสิ่งที่ประคองอัตลักษณ์ ตัวตนที่ผมมี คือ พูดน้อย พูดแล้วต้องทำ ช่วยเหลือคน ผมมีตัวตนค่อนข้างชัดเจน ในแง่ของความเป็นนักการเมือง สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำ”

“อนุชา” ผ่านร้อนผ่านหนาวบาเส้นทางการเมืองมาอย่างโชกโชน จึงปลงตกกับความเป็นนักการเมืองที่ว่า “วิธีที่ง่ายที่สุด ที่ทำให้ตัวเองเป็นนักการเมืองแนวหน้า คือ คนอื่นไม่ดีหมดตัวเองดีคนเดียว เหยียบคนอื่น”

“เหยียบผมยากหน่วย เพราะมีคนปกป้องผมเยอะ เพราะผมอยู่ในส่วนที่ช่วยเหลือคนอื่น แม้กระทั่งพวกเรายังรักผมอย่างเนี้ยเพราะงั้นผมจะถูกกระทำลำบาก อาจจะมีบ้างที่ไปพูดกับผู้ใหญ่ในแง่ลบ แต่ไม่เป็นไร เพราะถึงวันหนึ่งผู้ใหญ่เขาก็รู้ ว่า ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น เพราะผมมีแต่คนรัก และมีเครดิตเครดิตในวงการค้าถือว่าสำคัญมาก”

ทุกบรรทัด คือ ชีวิต-ความคิด และงานของ “อนุชา นาคาศัย”