ไขสูตรเลือกตั้งบัตร 2 ใบ “พปชร.” ไล่บี้ “เพื่อไทย” ประชาธิปัตย์ ต่ำ 50

รายงานพิเศษ

การเมืองนอกทำเนียบรัฐบาลที่สัมพันธ์เป็น “กลไก” ลมใต้ปีกของรัฐบาล คือเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560

ผ่านการชงร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมากกว่า 15 ร่าง จากนักเลือกตั้ง 4 ก๊ก ประกอบด้วย ก๊กพลังประชารัฐ ก๊กพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ก๊กฝ่ายค้าน ก๊ก Re-solution+พรรคก้าวไกล

กำลังทำสงครามแย่งชิงความคิดมวลชน ขายไอเดียรื้อโครงสร้างอำนาจ ทั้งที่เรื่องรัฐธรรมนูญยังไม่ได้อยู่ในจุดสนใจของคนทั่วไปส่วนใหญ่

เกมรื้อระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ ถูกชูขึ้นให้เป็นประเด็นใหญ่ เมื่อพรรคใหญ่ 3 ก๊ก พลังประชารัฐ 3 พรรคร่วมรัฐบาล และเพื่อไทย ผนึกกำลังชูแก้ไขระบบเลือกตั้งให้ย้อนกลับไปใช้ระบบบัตรเลือกตั้งบัตร 2 ใบ เขตเดียว-เบอร์เดียว ส.ส. 400 เขต+100 ปาร์ตี้ลิสต์

แต่ฟาก “ก้าวไกล” ปัดตกสูตรดังกล่าว เช่นเดียวกับกลุ่มการเมืองคู่ขนานนอกสภา Resolution แล้วชงรูปแบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ในระบบเยอรมัน

บัตร 2 ใบ พท.สูสี พปชร.

หากให้นักวิชาการ “คนกลาง” ที่วิจัยการเลือกตั้ง ไม่ว่าสูตรรัฐธรรมนูญ 2540-2550 สูตรเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวในรัฐธรรมนูญ 2560 หรือรูปแบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ในระบบเยอรมัน “ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ว่า

หากใช้สูตรเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ ตามรัฐธรรมนูญ 2540-2550 “พลังประชารัฐ” กับ “เพื่อไทย” สูสีกัน

“พลังประชารัฐ ถ้าสู้กันจริง ๆ ก็สูสีกับเพื่อไทย เพราะเพื่อไทย-พลังประชารัฐ องค์ประกอบของพรรคคล้ายกันในด้านตัวของผู้เล่น มี ส.ส.เขตในมือแข่งกัน เพื่อไทยก็มีความเป็นพรรค มีกระแสพรรคช่วยผู้สมัคร มีโอกาสที่เอากระแสพรรคไปได้ปาร์ตี้ลิสต์”

“เพื่อไทยอาจคิดยิ้มในใจว่า ถ้าใช้บัตรเลือกตั้ง 2 บัตร ก็ต้องไม่เหมือนเดิม นอกจากได้ ส.ส.เขตแล้วก็จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มด้วย ไม่ใช่แบบเลือกตั้งครั้งที่แล้วที่ใช้ระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสมแบบบัตรใบเดียว ทำให้ได้ ส.ส.เขตอย่างเดียว แต่อดได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ”

พรรคเพื่อไทยเดินเกมใหม่ เข็น “ทักษิณ ชินวัตร” ออกจากมุมมืด ล้างภาพเป็น “โทนี่ วู้ดซัม” สติธรอ่านเกมนี้ว่า

เพื่อไทยมั่นใจว่า ถ้ากลับมาใช้ 2 บัตรปุ๊บแล้วใช้พี่โทนี่ช่วย ก็จะเหมือนกับเพื่อไทย ปี 2554 หรือ 2550 ทักษิณคิด เพื่อไทยทำครั้งนี้ โทนี่คิด เพื่อไทยทำ ส่วนกระแสต้องวัดกัน

“แต่ตอนนี้ พี่โทนี่สร้างแบรนด์เก่ง และถ้าพี่โทนี่เห็นว่ากระแสดี จากที่เขาอั้น ๆ ท่อน้ำเลี้ยง เขาก็จะปล่อยหมด เป็นท่อสูบน้ำ คนทำธุรกิจก็ต้องคิดแล้วว่าลงทุนไปแล้วคุ้มหรือเปล่า เพราะการเลือกตั้งรอบที่แล้วไม่คุ้ม ก็เลยลงเท่าที่ได้ แต่ถ้ากระแสมาจริง เขาก็เพิ่มทุน”

“ส่วนพลังประชารัฐก็เช่นกัน มีคน ต่อให้กระแสพรรคอาจไม่ดี แต่พรรคก็มีวิธีอื่นไปกระตุ้นให้ผู้สมัครชนะในเขตได้ และสามารถขายพ่วงกับบัตรเลือกตั้งบัญชีรายชื่อพรรค บัญชีรายชื่อได้มาเท่าไหร่ก็เท่านั้น อาจจะได้น้อยกว่าเพื่อไทย แต่ถ้านับเฉพาะ ส.ส.เขตก็ถือว่าสูสี เพราะไปดูดคนมาเยอะแล้ว”

ก้าวไกล ตัด เพื่อไทย

อย่างไรก็ตาม นายกฯในบัญชีของพลังประชารัฐ คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ตอนนี้คะแนนนิยมลดฮวบ หลังเจอวิกฤตโควิด-19 ผสมโรงกับภาวะเศรษฐกิจ จน “นายกฯลุงตู่” เมาหมัด

ส่วนเพื่อไทย ใช้ความสำเร็จของ “ทักษิณ” ตอนปราบไข้หวัดนกมาเป็นจุดขาย และล้างภาพ “ทักษิณ” เปลี่ยนเป็น “โทนี่” ฉายวิสัยทัศน์ทุก ๆ สองสัปดาห์ผ่านคลับเฮาส์ ถ้าต้องถึงเวลาแข่งกันจริง ๆ พลังประชารัฐจะสู้เพื่อไทยได้จริงหรือไม่

“สติธร” ชวนคิดอีกมุมว่า เวลาคิด ต้องคิดสามเส้า โทนี่ก็โทนี่เถอะ เพราะโทนี่ก็จะเจอก้าวไกล เป็นคนเบรกกระแส พลังประชารัฐต้องประเมินว่า คู่เพื่อไทยและก้าวไกลต้องตัดคะแนนกันเอง ต่อให้โทนี่มา ลุงตู่ฝ่อ แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ไปสร้างอำนาจรัฐ อำนาจทุน หัวคะแนน ผู้นำท้องถิ่นที่ดึงมาเป็นพวก ขี้หมูขี้หมาต้องมีคะแนนจัดตั้ง

“พลังประชารัฐจึงพอสู้ไหว เพราะคู่แข่งก็ต้องตัดคะแนนกันเอง แต่ของพลังประชารัฐไม่ต้องกระแส ฐานเสียงล้วน ๆ ถ้ามีกระแสก็ดี เพราะเป็นอีกกลุ่มที่ไม่เลือกฝั่งโทนี่-เพื่อไทย หรือก้าวไกลอยู่แล้ว”

ดังนั้น เขาก็ประเมินแล้วว่า เปลี่ยนเป็นระบบเลือกตั้ง 2 บัตรก็คุ้ม เพราะดูแล้วตัวผู้เล่นอยู่ที่เขต ไปใช้บัตรใบเดียวเหมือนเดิมก็เหมือนเพื่อไทย ที่ไม่ได้บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว แต่ถ้าคิดแบบเลือกตั้ง 2 ใบ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ต้องคิดในมุมแบบเพื่อไทย อย่างน้อยก็ได้ ส.ส.เขตอยู่แล้ว และได้ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มขึ้นอีก 10-20 คน ก็ต้องมี

อนาคตพรรคขนาดกลาง

ตอนนี้ภูมิใจไทย (ภท.) และชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เขาเคาะกำลังคนของเขาอยู่ บัตรใบเดียวก็ดีสำหรับเขาอยู่แล้ว เขามีผู้สมัครเขตแข็ง ๆ ไม่เยอะ แต่มีโอกาสได้ชัวร์ หรือต่อให้ไม่ได้เป็น ส.ส. ก็ได้คะแนนเยอะ แล้วค่อยนำคะแนนตกน้ำมารวมเป็นบัญชีรายชื่อทีหลัง จริง ๆ ประชาธิปัตย์ก็ต้องไปกับสูตรเลือกตั้งบัตรใบเดียว เพราะประชาธิปัตย์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

“แล้วประชาธิปัตย์ ก็ต้องคิดว่า เขตมีในมือแค่ไหน ภาคใต้อาจจะได้สักครึ่งหนึ่งของทั้งหมด จาก 50 ที่นั่ง กทม.ก็ไม่ได้อยู่แล้ว ภาคอื่นก็ได้ประปราย แต่ถ้าไปกับบัตรเลือกตั้งใบเดียวก็ได้คะแนนตกน้ำ ได้ ส.ส.เขต 30 คน ส่วนคะแนนที่กระจาย ๆ ก็จะได้บัญชีรายชื่อกลับมาประมาณเดิม หรืออาจจะหย่อนไปหน่อย 40-50 ต้องมี”

แต่ถ้าไปบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ตามรัฐธรรมนูญ 2540-2550 ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ลุ้นได้แค่เขต แปลว่ามีเขตในมือเท่าไหร่ก็ได้ในมือเท่านั้น แต่ปาร์ตี้ลิสต์หลงเข้ามาไม่เกิน 5 คน เพราะเวลาแยกบัตร 2 ใบ คนจะไปเลือกตามว่าใครมาเป็นนายกฯ กระแสพรรคเป็นอย่างไร

“จากพฤติกรรมการลงคะแนนเลือกตั้งของคนไทย เวลาลงคะแนนแยกบัตร 2 ใบ พรรคที่ไม่ได้มีลุ้นว่าเป็นนายกฯ มักจะไม่ค่อยได้คะแนน เหมือนตอนเลือกตั้ง 2554 พรรคภูมิใจไทยได้ ส.ส.เขต 29 คน คะแนนบัญชีรายชื่อได้แค่ 1.7 ล้านคะแนน แต่คะแนนเขตได้ 3.5 ล้านคะแนน”

“แต่ชนะกี่เขตก็ได้แค่นั้น คะแนนก็ตกน้ำ ไม่ได้ top up ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคกลาง ๆ จึงไม่ชอบ เพราะบัญชีรายชื่อที่แยกออกมาต่างหาก ไม่ได้จูงใจให้คนไปกาพรรคพวกนี้ ถ้าแยกบัตร ได้ ส.ส.เขตเท่าไหร่ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้เท่านั้น และบัญชีรายชื่อแค่ 5% หรือ 5-10 ที่นั่ง”

3 พรรคแท็กทีมหานายกฯคนใหม่

สติธรวิเคราะห์ว่า ความจริงแล้ว 3 พรรค บัตรใบเดียวได้ประโยชน์อยู่ สู้แบบบัตรใบเดียวขาย ส.ส.เขต เพราะทั้ง 3 พรรคมีตัวเล่น ภูมิใจไทยมีอีสานใต้ ภาคใต้ ประชาธิปัตย์มีฐานภาคใต้ ชาติไทยพัฒนามีฐานภาคกลาง แล้วหาผู้สมัครที่ใช้ได้ แม้ไม่ถึงเกรดเอ แต่สามารถโกยคะแนนเข้าพรรคได้กระจายตามจังหวัดต่าง ๆ ได้

แต่ปัจจุบัน “ประชาธิปัตย์แค่เอาตัวรอดไปให้ได้ก่อน เมื่อขั้วการเมืองยังเป็นอย่างนี้ ตัวเองไม่ได้เป็นผู้นำของขั้วก็จะอยู่ยากหน่อย และไม่มีตัวเสนอเป็นนายกฯ แม้มีตัว แต่ความเป็นไปได้ก็ยาก”

มีทางเดียว 3 พรรคร่วมรัฐบาล ถ้าจับมือกันแน่น ๆ เป็นพรรคทางเลือกที่ 3 ให้ได้ แล้วชูนายกฯขึ้นมาคนหนึ่งของกลุ่มตัวเอง ขายพ่วงกันไปก็ยังพอได้

ก้าวไกลหวังเก้าอี้เพิ่ม

อีกสูตรหนึ่งคือ บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบบเยอรมัน ในสูตร MMP ที่ก้าวไกล-Re-solution เสนอนั้น สติธรอ่านเกมว่า วิธีคำนวณของระบบ MMP เวลาคิดคะแนนจะเหมือนกับระบบ MMA ที่เราใช้เลือกตั้งบัตรใบเดียว ในรัฐธรรมนูญ 2560 วิธีคำนวณเหมือนกัน ต่างกันที่เลือกตั้งบัตรสองใบ หรือบัตรใบเดียว แต่ถ้าเอาปาร์ตี้ลิสต์ทั้งประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง การคิดจำนวน ส.ส.ก็จะคล้ายกับรัฐธรรมนูญ 2560 นับคะแนนตกน้ำ

“วิธีคิดแบบบัตรใบเดียวทำให้อนาคตใหม่ได้คะแนนเยอะ จึงเชื่อว่าวิธีคิดแบบ MMP ใช้กระแสพรรค เพื่อให้คนมาเลือกบัตรพรรคเยอะ ได้กี่เปอร์เซ็นต์ ก็เอาไปคำนวณว่าได้ ส.ส.เท่าไหร่ ก็มีโอกาสได้เหมือนเดิม คนเลือกมา 16% ก็ต้องได้ 16% จากที่นั่งทั้งหมดคือ 80 เสียง”

“ดังนั้น ถ้าบัตรเดียวแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ก้าวไกลไม่น่าจะได้มากกว่าเดิม แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็น MMP ไม่น่าจะต่ำกว่าเดิม และมีลุ้นจะได้มากขึ้น”

ส่วนพรรคเพื่อไทย-พลังประชารัฐ แนวโน้มได้แต่ ส.ส.เขต ไม่ได้คะแนนตกน้ำบัญชีรายชื่อ