6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ผนึกกำลัง ประกาศ 4 วาระ ขีดเส้นตายประยุทธ์

พรรคร่วมฝ่ายค้าน ขีดเส้นตายรัฐบาลประยุทธ์ รวมพลังยุติรัฐบาลที่สิ้นสภาพ

วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่โรงแรมพาโค แกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรค พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย ได้จัดงานกระชับความสัมพันธ์พรรคร่วมฝ่ายค้าน ในชื่องาน “ผนึกกำลังขีดเส้นใต้ความล้มเหลว ขีดเส้นตายรัฐบาล”

ทั้งนี้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ปีนี้สมัยประชุมสามัญประจำปี ปีที่ 4 สมัยประชุมที่ 1 เริ่มต้น 22 พฤษภาคม – 19 กันยายน 2565 ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านขอแถลงการณ์เรื่องการทำหน้าที่ของพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในสมัยประชุมที่จะเริ่มขึ้น ขีดเส้นใต้ความล้มเหลว ขีดเส้นตายรัฐบาลที่สิ้นสภาพ

วันนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านอันประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย มารวมตัว ณ ที่แห่งนี้ ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งของการเมืองไทย เวลาที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทย

ประเทศไทยวันนี้เรากำลังอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด เผชิญวิกฤตในทุกมิติ “วิกฤตตัวผู้นำ” นายกรัฐมนตรีที่ไร้ศักยภาพ ขาดความน่าเชื่อถือ นำพาประเทศมาถึงทางตัน เป็นรัฐบาลหมดสภาพ ในการบริหารราชการแผ่นดิน อีกทั้งยังจะสิ้นสภาพ ในมิติความถูกต้องตามตัวบทกฎหมายด้วยปมวาระนายกรัฐมนตรี 8 ปี

วิกฤตเศรษฐกิจที่สร้างความทุกข์ยากแก่พี่น้องประชาชนอย่างแสนสาหัส ทำลายสถิติการเพิ่มขึ้นของคนจน หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน การตกงาน การขาดดุลงบประมาณ สูงสุดในประวัติศาสตร์ชาติภายใต้การบริหารของรัฐบาล

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า วิกฤตสาธารณสุข ที่คร่าชีวิตประชาชนต้องนอนตายกลางถนนเป็นจำนวนมาก กลายเป็นประเทศที่ติดเชื้อลำดับต้นๆ ของโลก สาเหตุจากการบริหารและมาตรการที่ผิดพลาด ควบคุมโรคระบาดแบบไร้ทิศทาง กระทำเสมือนชีวิตของประชาชนนั้นไร้ค่า ไร้ความหมาย

วิกฤตการเมือง เผด็จการในคราบประชาธิปไตย ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายทิ้งไว้ให้ประเทศอย่างต่อเนื่องยาวนาน ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับวางยาพิษ รวมถึงระบบนิติบัญญัติของเสียงข้างมากที่ล้มเหลว สภาอันทรงเกียรติกลายเป็นสภาที่ซื้อได้ด้วยเงิน

วิกฤตผู้นำ วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสาธารณสุข วิกฤตการเมือง ทั้ง 4 วิกฤตที่ปะทุขึ้นพร้อมกันในปัจจุบัน เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ และนำความทุกข์ยากมาสู่ประชาชนอย่างมากมายมหาศาล พรรคร่วมฝ่ายค้านมีความเห็นร่วมกันว่า หากปล่อยให้สถานการณ์เหล่านี้ดำเนินต่อไป จะสร้างความเสียหายจนไม่อาจเยียวยาแก้ไขได้

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงมีมติร่วมกันขีดเส้นตายให้รัฐบาลที่หมดสิ้นสภาพนี้ นับตั้งแต่การเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ 22 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป ในการดำเนินการของพรรคร่วมฝ่ายค้านใน 4 วาระสำคัญ ได้แก่ 1. การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2565

2. การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กับร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ในเดือนมิถุนายน 2565 3. การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 151

4. การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมกันแล้วไม่เกิน 8 ปี ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเดือนสิงหาคม 2565

“พรรคร่วมฝ่ายค้านขอประกาศว่าวันนี้เรารวมพลังเพื่อยุติ รัฐบาลที่สิ้นสภาพ โดยการขีดเส้นตาย การทำงานของรัฐบาลนี้ ทำหน้าที่ได้ไม่เกินเดือนสิงหาคมที่จะถึง พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องคืนอำนาจ คืนชีวิต คืนความกินดีอยู่ดี คืนประชาธิปไตย ให้กับประชาชนทุกคน” นพ.ชลน่าน กล่าว

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เส้นตายสิงหาคม ฝ่ายค้านทำงานอย่างเต็มที่ไม่เฉพาะอภิปรายงบประมาณ กับอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น แต่การดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี เป็นเส้นตายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สามารถปฏิเสธได้ เป็นสิ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำหนดไว้เอง ไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ ไม่มีการบัญญัติในบทเฉพาะกาลให้ยกเว้นไว้ ดังนั้น ไม่มีทางที่จะตีความเป็นอย่างอื่นได้

เรื่องนี้ เวลารัฐบาลอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินก็บอกว่าเป็นเพราะดำรงตำแหน่งต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน แต่จะอ้างว่าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งต่อเนื่องไม่ได้ เพราะใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ขณะนี้มีฉันทามติเกิดขึ้นเรื่อยๆ ว่าหมดเวลาของ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว

แต่ขณะเดียวกันมีการโยนหินเรื่องที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็นนายกฯ แทน พรรคก้าวไกลเห็นว่า การใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ไม่ใช่ทางออกจากวิกฤต ทั้งที่รัฐบาล 4 ไม่ คือ ไม่มีความชอบธรรม ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน ถ้า พล.อ.ประวิตรมา เป็นนายกฯ ต่อก็จะเป็น 5 ไม่ เพราะไม่รู้ ไม่รู้ ทางออกจากวิกฤตที่ชอบธรรมคือการยุบสภาเท่านั้น และไม่ต้องการมี พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ

นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศบกพร่องร้ายแรง จนทั้งแผ่นดิน และแพงทั้งแผ่นดิน การที่เศรษฐกิจถดถอย แต่เงินเฟ้อขึ้นสูง เรื่องนี้เป็นการบริหารงานที่ผิดพลาด ภาวะน้ำมันแพงไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่เกิน 8 ปี จะทำให้เกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญอีกหรือไม่ ดังนั้น ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า เรามีผู้นำไม่ดี จึงเกิดวิกฤตกับประชาชน การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่นึกเลยว่าในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาล ประเทศไทยมีการคอร์รัปชั่นสุดซอย เพราะดัชนีการคอร์รัปชั่นในปี 2558 เราอยู่ในอันดับ 80 กว่าๆ แต่ในปี 2565 มาอยู่ในลำดับที่ 110 ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำตั้งแต่เกิดจนถึงเชิงตะกอน เชื่อว่า ถ้าพรรคฝ่ายค้านได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะทำให้ประชาชนเห็น แม้รัฐบาลจะมีมือในสภามาก แต่เป็นมือที่ผ่านกฎหมาย ไม่ใช่มือที่สนับสนุนทุจริต รัฐบาลไม่ควรอยู่สร้างภาระประชาชน วันนี้ประชาชนมีวิกฤตเพราะผู้นำไม่ดี

นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคหัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย กล่าวว่า ไม่มีรัฐบาลไหนที่ทำให้ประเทศชาติบรรลัยได้เท่ารัฐบาลชุดนี้ ถ้ายังปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไปแม้แต่วันเดียว ความบรรลัยก็จะเพิ่มขึ้น หนี้สินก็จะเพิ่มขึ้น เป็นรัฐบาลเข้ามาบริหารที่ไม่บริหาร เป็นวัชพืชชนิดหนึ่งที่มาแย่งอาหารพืชหลักที่ประชาชนปลูกไว้