ชัยวุฒิ โดนเพื่อไทยซักฟอกจริยธรรม ตั้งเพื่อนสนิท เอื้อประโยชน์พวกพ้อง

ส.ส.เพื่อไทย อภิปราย “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส ปมตั้ง เพื่อนสาวคนสนิท ล็อกสเป็กศูนย์ดิจิทัลชุมชน

วันที่ 20 กรกฎาคม 2565 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 2 ในช่วงบ่าย ได้มีการอภิปราย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส ในข้อกล่าวหาใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง

ตั้งเพื่อนสนิทพวกพ้องทำประชาสัมพันธ์

โดยนายวันนิวัติ สมบูรณ์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 2562 หรือกฎหมาย PDPA ควรจะนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2562 แต่มีปัญหาเรื่องความพร้อม แต่นายชัยวุฒินำมาใช้ในขณะที่ไม่มีความพร้อม เอื้อประโยชน์ให้กับบัดดี้ซึ่งไม่ใช่ชื่อคน แต่หมายถึงเพื่อน คนสนิท พวกพ้อง เพราะเมื่อ PDPA ไม่พร้อม ต้องมีการประชาสัมพันธ์ ได้ตั้งงบประมาณไว้ 220 ล้าน สำหรับประชาสัมพันธ์อบรมสัมมนาแต่มีการประมูลได้ที่ 219 ล้าน ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์กับพวกพ้องที่อยู่ในวงการธุรกิจด้านไอที

โดยนายชัยวุฒิแต่งตั้งที่ปรึกษา 7 คน โดยหนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ ม.1 มีความสนิทชิดเชื้อเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทไอที อีกทั้งยังได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการในการกำกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีกด้วย ซึ่งที่ปรึกษาคนดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติแผนการดำเนินงาน อนุมัติการใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงาน

ซึ่งเชื่อมโยงกับการทุจริตล็อกสเป็กศูนย์ดิจิทัลชุมชน เริ่มจากปี 2563 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้ทำสัญญากับบริษัทแคทเทเลคอม จัดทำศูนย์ดิจิทัลชุมชน มีการเซ็นสัญญา 250 ศูนย์ สัญญา 1 ปี วงเงิน 277 ล้าน โดยใช้งบฯศูนย์ละ 1 ล้านเศษ ตัวอย่างเช่น จังหวัดขอนแก่น ได้ศูนย์ดิจิทัล 2 แห่ง ทั้งที่มีประชากรกว่า 8 แสนคน และยังไม่แล้วเสร็จ

ต่อมาในปี 2564 มีการตั้งงบฯอีก 500 ล้าน เพื่อตั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชนอีก 500 แห่ง ได้ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกใช้เกณฑ์ TOR ที่แปลกประหลาด เพราะปกติจะต้องเป็นของใหม่ แต่ใน TOR ไม่ระบุตรงนี้เลย และกำหนดระยะเพียง 15 วัน ผู้รับเหมาที่ไหนจะหาของใหม่ทัน ดังนั้นจึงต้องเป็นผู้รับเหมาเก่าที่มีของอยู่แล้วถึงจะดำเนินการได้

นอกจากนี้ ศูนย์ 250 ศูนย์แรก กับ 250 ศูนย์หลังคือศูนย์เดียวกัน ทั้งที่เราควรมีศูนย์ 750 ศูนย์ทั่วประเทศ แต่วันนี้มี 500 ศูนย์ ดูยังไงก็หาย เงิน 250 ล้านหายไปไหน ดูอย่างไรก็ผิด เพราะในการประมูลรอบที่ 2 มีการบิดการประมูล โบริดยมีษัทเข้าร่วมประมูล 4 บริษัท ซึ่ง 3 ใน 4 บริษัท เป็นเอกสารจากธนาคารเดียวกันและ 2 ใน 4 บริษัท มีเลขต่อกัน ชี้ชัดว่าท่านเอื้อประโยชน์ผู้รับเหมาเก่า เพื่อให้ได้งานเดียวกันใน 250 ศูนย์แรก

“รัฐมนตรีได้เอื้อเพื่อนสนิท ไปเป็นที่ปรึกษายังไม่พอ ยังให้ไปดำรงตำแหน่งกรรมการกำกับที่ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอีกที โดยที่กรรมการท่านนี้มีอำนาจเรื่องงบประมาณ นอกจากนี้ยังจัดซื้อจัดจ้างห้องดิจิทัล ซึ่งทุจริตชัดเจน เพราะควรจะมี 750 ศูนย์ แต่กลับมีแค่ 500 ศูนย์ ในขณะที่ประเทศชาติตกต่ำ ประชาชนอดอยาก ต้องการช่องทางติดต่อค้าขาย เด็กต้องการรับช่องทางเรียนรู้ แต่ขโมยช่องทางเหล่านั้นไป”

ส.ส.หญิงเพื่อไทย อภิปรายผิดจริยธรรม

น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย อภิปรายต่อเนื่องว่า นายชัยวุฒิทำผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงที่สุด จากพฤติกรรมที่กล่าวว่านายชัยวุฒิหลังจากได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเชิดหน้าชูตญิงอื่นาห เยี่ยงและเหนือกว่าภรรยาตัวเอง ทำร้ายจิตใจภรรยาตนเองอย่างแสนสาหัส

ซึ่งขัดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงใน ข้อ 10 วรรค 8  ระบุว่า ไม่กระทำการอันมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ จนเป็นเหตุทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับความเดือดร้อนเสียหาย หรือกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ โดยผู้ถูกกระทำอยู่ในภาวะจำยอมต้องยอมรับในการกระทำนั้น และไม่นำความสัมพันธ์ทางเพศที่ตนมีต่อบุคคลใดมาเป็นเหตุหรือมีอิทธิพลครอบงำให้ใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติหน้อัาที่นเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรดา ส.ส.หญิง ของพรรคพลังประชารัฐจึงลุกขึ้นประท้วงเกิดขึ้น ซึ่งนายศุภชัย โพธิ์สุรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธาน ได้ขอให้ น.ส.ชนก ระมัดระวัม่ให้พงไาดพิงบุคคลที่ 3 หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะบุตรของผู้เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่าย

จากนั้น น.ส.ชนกอภิปรายต่อ และได้ขึ้นรูปนายชัยวุฒิ กับบุคคลที่ 3 โดยมีการเบลอหน้าทุกคน แต่นางนันทนา สงฆ์ประชา ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาภิวัฒน์ ประท้วงว่า การพูดถึงครอบครัวคนอื่น โดยไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ควรมาพูดในสภาแห่งนี้ ความเป็นผู้หญิงด้วยกัน ต้องมีความเห็นอกเห็นใจ เรื่องนี้จะบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ ไม่สมควรอย่างยิ่ง ต้องให้หยุดการอภิปราย เสียหายจริง ๆ เป็นเรื่องครอบครัว แล้วเอารูปขึ้นถูกต้องหรือไม่

ภูมิใจไทยหย่าศึก อย่าพาดพิงบุคคลที่ 3

นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ประท้วงว่า เรื่องนี้อยู่ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้นการที่สมาชิกจะพูดถึงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น สมาชิกสามารถพูดได้ แต่ขอร้องอย่าไปพาดพิงถึงภรรยา ถึงบุคคลที่ 3 หรือบุคคลอื่น ๆ แม้แต่รูปภาพที่จะแสดง ถ้าเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นทำให้เกิดความเสียหาย ประธานก็มีสิทธิที่จะสั่งห้าม ทั้งนี้ ขอให้นึกถึงใจเขาใจเราด้วย

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ขอหารือว่า ตนพยายามหาทางออกในฐานะวิปฝ่ายค้าน ตนรู้จักทุกฝ่าย แต่เรื่องนี้บรรจุอยู่ในญัตติ เราสรุปเลยแล้วกันว่ามีเรื่องชู้สาวจริง ๆ และบุคคลคนนี้เข้าไปก้าวก่ายการจัดซื้อจัดจ้างภายในกระทรวง ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่อยู่ที่ฝ่ายค้าน แต่อยู่ที่ รมว.ดีอีเอส

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ถ้าจะพูดเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่มีปัญหา แต่คำอภิปรายของ น.ส.ชนก ตนก็ไม่รู้เรื่องจริง ๆ และไม่สามารถพิสูจน์ได้ และถ้าปล่อยไป หลายฝ่ายก็จะเสียหาย จึงขอแนะนำให้เข้าประเด็นจัดซื้อจัดจ้าง

ทั้งนี้ นายศุภชัยกำชับอีกครั้งว่า ให้ น.ส.ชนกระมัดระวัง และให้พูดถึงพฤติกรรมของนายขัยวุฒิ แต่ไม่ต้องไปลงรายละเอียดถึงบุคคลอื่น จากนั้น น.ส.ชนกพยายามอภิปรายต่อและขอให้ประธานสภาเปิดรูปต่อไป ทำให้เกิดการประท้วงอีกครั้ง

ประท้วงวุ่นปิดไมค์

ต่อมา น.ส.ชนกอภิปรายโดยยืนว่า ตราบาปไม่ใช่ตนเป็นคนทำ แต่เป็นจากพฤติกรรมทั้งหมด จากพฤติกรรมที่กล่าวว่านายชัยวุฒิมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเชิดหน้าชูตาหญิงอื่น เยี่ยงและเหนือกว่าภรรยาตัวเอง ทำร้ายจิตใจภรรยาตนเองอย่างแสนสาหัส ทุกข์ทรมานจิตใจ จนไม่กี่วันที่ผ่านมามีการหย่าร้างกับภรรยา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากถึงตอนนี้ นายศุภชัยได้ปิดไมโครโฟน น.ส.ชนก ทำให้นายจุลพันธ์ลุกขึ้นประท้วงว่า ประธานกำลังปิดปากฝ่ายค้าน แต่นายศุภชัย โพธิ์สุ ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมระบุว่า ไม่ได้ปิดปากฝ่ายค้าน พร้อมระบุว่า น.ส.ชนกอภิปรายมาพอสมควรแล้ว แต่มีผลกระทบต่อหลาย ๆ ฝ่าย ถ้าหากว่า น.ส.ชนกอภิปรายรูปแบบเดิม จะไม่อนุญาต เพราะมีผลกระทบต่อครอบครัวคนอื่น แต่ถ้าอภิปรายประเด็นอื่นจะอภิปรายต่อ

น.ส.ชนกอภิปรายต่อว่า อภิปรายไม่ไว้วางใจนายชัยวุฒิตามคุณสมบัติประมวลจริยธรรม ที่ได้ยื่นไปแล้วว่าไม่อาจไว้วางใจได้เพราะขัดจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะมีพฤติกรรมไม่เป็นแบบอย่างที่ดีในการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงาม รวมทั้งรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเอื้อประโยชน์ในกระทรวงดีอีเอสบริหารประเทศหรือไม่

น.ส.ชนกได้อ่านกลอนปิดท้ายว่า “อันเรื่องราวตัณหานี้สาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์หัดวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน”

ชัยวุฒิ รมว.ดีอีเอส ตอบฝ่ายค้านมาตรฐานต่ำ

นายชัยวุฒิกล่าวชี้แจงว่า ต้องขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ให้เกียรติช่วยประท้วง และมีการควบคุมการอภิปราย ซึ่งไม่ได้ประสงค์ให้มีการปิดกั้น จึงอยากให้พูดให้หมด เพราะเรื่องจริงไม่มีอะไร และไม่ได้กลัวอยู่แล้ว

ส่วนตัวคิดว่าอภิปรายในประเด็นแบบนี้ไกลไปหน่อยและมาตรฐานต่ำ คือการพูดเรื่องที่ต่ำ คนพูดก็จะต่ำไปด้วย ภาพจะติดตัวคนพูดไป คนที่ให้ข้อมูลพูดเรื่องนี้ไม่ได้หวังดีกับผู้อภิปราย เพราะจะมีคดีหมิ่นประมาทด้วย สุดท้ายไปสู้ในศาล คนที่เสียหายฟ้อง แต่โชคดีที่ผู้อภิปรายไม่ได้พูด

“ทุกคนถ้ารู้จักผม จะรู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร แต่คนที่ไม่รู้จักผมก็อย่ามาอภิปรายในเรื่องส่วนตัวของผม ไปฟังคนโน้นคนนี้พูดมา มันไม่ใช่หรอก” นายชัยวุฒิกล่าว

นายชัยวุฒิกล่าวว่า ส่วนคนที่มาช่วยงานตน บางคนไม่มีเงินเดือน ไม่มีตำแหน่ง บางคนว่างมาช่วยกันคิด ช่วยกันทำงาน เพื่อจะได้พัฒนากระทรวงให้ดียิ่งขึ้น บางคนเคยทำงานด้านไอที ก็มาช่วยแนะนำว่าจะทำอย่างไร เป็นเรื่องปกติทุกกระทรวง ส่วนบางคนที่มีความรู้ความสามารถอาจจะสมัครไปเป็นกรรมการในองค์กรต่าง ๆซึ่งมีกระบวนการสรรหาตามกฎหมาย ซึ่งคิดว่าเป็นประโยชน์ถ้าเข้าไปช่วยงานในองค์กรต่าง ๆ ได้ ซึ่งไม่เห็นเป็นสิ่งที่ผิดหรือขัดรัฐธรรมนูญ จนกว่าจะมีการทุจริตก็ไปร้อง ป.ป.ช. ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่พูดเหมือนมีความผิดทั้งที่ไม่มีอะไรผิดเลย

“การอภิปรายที่ฟังมา ไม่ได้มีข้อเท็จจริงที่เป็นความเสียหายต่อการทำงานของผม มีคนรู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน มาช่วยผมทำงานเป็นที่ปรึกษา เป็นเรื่องที่ทุกคนในสภาก็มีเพื่อนมาช่วยทำงานให้เดินหน้า ทำงานเพื่อบ้านเมือง” นายชัยวุฒิกล่าว

นายชัยวุฒิกล่าวว่า ส่วนเรื่องศูนย์ดิจิทัลชุมชน เป็นเรื่องปี 2563-2564 เกิดขึ้นก่อนที่ตนมารับตำแหน่ง และตนได้ตรวจสอบอยู่ อีกทั้งโครงการดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว และไม่ได้มีความเสียหาย หรือมีการฟ้องร้องในระดับที่กระทรวง แต่ก็จะตรวจสอบดูว่า จากข้อมูลที่ได้มาที่จังหวัดขอนแก่นมีความเสียหายอย่างไร จะไปตรวจสอบและรายงานผ่านกลไกสภา หรือสื่อมวลชน เพื่อไม่ให้รบกวนสภาต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนายชัยวุฒิชี้แจงเสร็จ น.ส.ชนกกล่าวว่า หากบริสุทธิ์ใจจริง ไม่กังวลจริง จะหย่าทำไม