คมนาคมขานรับ “เศรษฐา” เร่งกฎหมาย 3 ฉบับ-บูสต์เศรษฐกิจ

สรวุฒิ เนื่องจำนงค์
สรวุฒิ เนื่องจำนงค์
สัมภาษณ์พิเศษ

ทำทันที ไม่ต้องรอ สไตล์การทำงานรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน

ในส่วนของกระทรวงคมนาคม มีการขานรับนโยบายทันควัน ผ่านการเร่งผลักดันร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับที่ค้างดำเนินการ ประกอบด้วย ร่างกฎหมายขนส่งทางราง, ร่างกฎหมายแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง และร่างกฎหมายตั๋วร่วมของระบบรถไฟฟ้า

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “สรวุฒิ เนื่องจำนงค์” เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มือประสาน 22 หน่วยงานของกระทรวง ดีกรี สส.ตั้งแต่ปี 2550 งานสุดท้ายในยุครัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ผลักดันร่างกฎหมายจัดตั้งศาลภาษี ของกระทรวงการคลังจนจบ กับภารกิจครั้งต่อไปในสภาที่จะต้องเร่งรัดผลักดันกฎหมายกระทรวงคมนาคมทั้ง 3 ฉบับดังกล่าว

กม.ระบบรางเพื่อ “เปิดเสรีทางราง”

เริ่มต้นด้วย “ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ….” หรือ พ.ร.บ.ราง มี 10 หมวด จำนวน 157 มาตรา

“พ.ร.บ.รางต้องเสร็จก่อน ปัจจุบันกรมราง หรือกรมการขนส่งทางรางจัดตั้งแล้ว ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว มีอัตรากำลังเรียบร้อย แต่ขาดการเป็น regulator คือขาดอำนาจกำกับ เพราะไม่มี พ.ร.บ.รองรับ ปัจจุบัน เราใช้กฎกระทรวงเป็นตัวจัดการก่อน เพราะเราเอาอำนาจ สนข. (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) มาใช้ทำงาน…”

เป้าหมายใหญ่ของการผลักดันกฎหมายการขนส่งทางรางคือ การเปิดเสรีทางราง เพื่อจัดสรรทรัพยากรที่เรียกว่าถูกจำกัดการใช้จากกฎหมาย การสอบสวนอุบัติเหตุ การให้ใบอนุญาต เป็นต้น

ADVERTISMENT

“หลัก ๆ พ.ร.บ.ขนส่งทางราง เราอยากผลักดันเรื่องการเปิดเสรีทางราง ซึ่งมีข้อดีข้อเสียก็คือ ข้อดี ใช้ทรัพยากรที่รัฐเป็นเจ้าของร่วมกัน แต่ว่ากฎหมายของไทยบางส่วนยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ เช่น คนก็ตีความว่า การให้เอกชนมาสนับสนุนเป็นช่วง ๆ แล้วมาใช้รางที่รัฐเป็นคนลงทุน อาจจะต้องเปิดประมูลรัฐและเอกชนร่วมลงทุน หรือ PPP หรือเปล่า ติดเรื่อง พ.ร.บ.ร่วมทุนหรือเปล่า”

สถานะร่างกฎหมาย มีความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แบ่งเป็น 2 แนวทางคือ แนวทางที่ 1 เห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เรื่องการจัดสรรทรัพยากรของรัฐคือตัว regulator หรือกรมการขนส่งทางราง สามารถให้ตามสิทธิอยู่แล้ว กับแนวทางที่ 2 มองว่าต้องทำ PPP ซึ่งมี 3 ระดับ ได้แก่ มูลค่าสัมปทานต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท, สูงกว่า 1,000 ล้าน, มูลค่าสัมปทาน 2,000-5,000 ล้านบาท

ADVERTISMENT

“ประเด็นอยู่ที่การเจรจา PPP แบบเป็นช่วง ๆ ที่มีมูลค่าไม่ถึง 1,000 ล้านบาท ไม่ค่อยยุ่งยาก เพราะฉะนั้น ต้องทบทวนดูตัวนี้”

ไทม์ไลน์ยื่นวุฒิสภา มกราคม 2567

รายละเอียด ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ประกอบด้วย บททั่วไป มาตรา 1-4 เกี่ยวกับนิยาม คำจำกัดความ กำหนดวันที่มีผลบังคับใช้ “หมวดที่ 1” คณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางราง มาตรา 5-13 กำหนดหน้าที่และอำนาจกรมการขนส่งทางราง “หมวดที่ 2” การจัดทำโครงการ มาตรา 14-33 กำหนดการจัดทำแผนพัฒนาทางราง การเสนอโครงการ การดำเนินโครงการ “หมวดที่ 3” เขตระบบการขนส่งทางราง และเขตปลอดภัยการขนส่งทางราง มาตรา 34-39

ไฮไลต์น่าจะอยู่ที่ “หมวดที่ 4” การประกอบกิจการขนส่งทางราง มาตรา 40-80 แบ่งย่อย 5 ด้านด้วยกัน ได้แก่ การขออนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางราง, หน้าที่ของผู้ประกอบกิจการฯ, การกำหนดอัตราค่าโดยสาร, การเชื่อมต่อราง และการจัดสรร slot

“หมวดที่ 5” การสอบสวนอุบัติเหตุ มาตรา 81-94 กำหนดคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุ และการสอบสวนอุบัติเหตุ “หมวดที่ 6” ผู้ตรวจการขนส่งทางราง มาตรา 95-100 “หมวดที่ 7” ผู้ประจำหน้าที่ มาตรา 101-110 กำหนดเรื่องอำนาจหน้าที่ของผู้ประจำหน้าที่ “หมวดที่ 8” การจดทะเบียนการขนส่งทางราง มาตรา 111-121 กำหนดการขอจดทะเบียนรถขนส่งทางราง และรถที่ได้รับยกเว้น

“หมวดที่ 9” คุ้มครองผู้โดยสาร มาตรา 122-127 กำหนดเกี่ยวกับความล่าช้าในการเดินรถ การคืนค่าโดยสาร การเยียวยา “หมวดที่ 10” บทกำหนดโทษ มาตรา 128-157 กำหนดโทษปรับทางปกครอง และโทษอาญา และ “บทเฉพาะกาล” ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายขนส่งทางราง การออกใบอนุญาต

ไทม์ไลน์ คาดว่าเสนอขอมติคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ จากนั้นส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา 3 วาระ และภายในเดือนมกราคม 2567 เสนอวุฒิสภาพิจารณาต่อไป

กฎหมายแลนด์บริดจ์-ทุกอย่างพร้อมแล้ว

ถัดมา “ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ….” หรือร่างกฎหมายแลนด์บริดจ์ ตามโครงการแลนด์บริดจ์ จังหวัดชุมพร-ระนอง ที่มีมูลค่าลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท ในอนาคตเมื่อสร้างเสร็จคาดหวังจะเป็นทางเดินเรือหลักสายใหม่ เส้นทางเอเชียกับยุโรป มีทั้งการขนส่งน้ำมันและตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้ประหยัดเวลา เพราะไม่ต้องอ้อมไปใช้ท่าเรือสิงคโปร์ ถึงแม้จะเสียเวลา 12-15 เดือนในช่วงสถานการณ์โควิด แต่การจัดทำรายงาน EHIA ตั้งเป้าทำให้ทันกำหนดเดิมภายในเดือนมีนาคม 2567

โครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง กลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้งหลังจาก “นายกฯเศรษฐา” มีการวาดลายเส้นด้วยมือแสดงโครงการให้ซีอีโอระดับโลกได้รับทราบ ว่าเมืองไทยมีอภิโปรเจ็กต์นี้ เพื่อชักชวนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

สำหรับร่างกฎหมายแลนด์บริดจ์ มีทั้งหมด 8 หมวด ได้แก่ “หมวดที่ 1” บททั่วไป กำหนดพื้นที่โครงการแลนด์บริดจ์ และวัตถุประสงค์ในการพัฒนาพื้นที่ “หมวดที่ 2” คณะกรรมการนโยบาย กำหนดคณะกรรมการแลนด์บริดจ์ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ “หมวดที่ 3” สำนักงาน กำหนดสำนักงานนโยบายแลนด์บริดจ์ อำนาจหน้าที่และเลขานุการสำนักงาน

“หมวดที่ 4” การพัฒนาแลนด์บริดจ์ กำหนดแผนพัฒนาภาพรวม ข้อกำหนดเกี่ยวกับสัดส่วนการให้นิติบุคคลต่างชาติสามารถเข้าร่วมลงทุน “หมวดที่ 5” เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ กำหนดเขตส่งเสริมพิเศษ กำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย “หมวดที่ 6” กองทุน “หมวดที่ 7” การกำกับดูแล “หมวดที่ 8” บทกำหนดโทษ

โดยมีบทเฉพาะกาลระบุสิทธิประโยชน์ 3 ด้าน ได้แก่ สิทธิประโยชน์ด้านภาษี สิทธิในการพำนักระยะยาว และสิทธิในการถือครองที่ดินของนักลงทุนต่างชาติ กับแนวทางให้เอกชนรับแรงงานในพื้นที่ และคนไทยพลัดถิ่นเข้าทำงาน

“ร่างกฎหมายนี้เดิมชื่อไม่เป็นทางการคือ SEC-Southern Economic Corridor ล้อจาก EEC แต่ตอนนี้ใช้ชื่อกฎหมายแลนด์บริดจ์ สาระสำคัญให้มีการจัดตั้งสำนักงานขึ้นมา เพื่อดูแลแลนด์บริดจ์โดยเฉพาะ มีกฎหมายเฉพาะ ตามไทม์ไลน์ปี 2568 ตัว พ.ร.บ.จะเร็ว แล้วถ้าสภาเอาด้วย เราเกิดเร็ว ทุกอย่างเราพร้อมอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา”

กฎหมายตั๋วร่วม ลุ้นบังคับใช้ปี 2568

สุดท้าย “ร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ….” ซึ่งเคยถูกพับแผนการผลักดันกฎหมายไปแล้ว ล่าสุดมีนโยบายที่จะผลักดันอีกครั้ง ดูเหมือนจะเป็นกฎหมายที่ออกมารองรับนโยบายหาเสียงของทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะหาเสียงค่าโดยสารรถไฟฟ้าหลากสี 20 บาท หรือ 30 บาทก็ตาม

“กฎหมายตั๋วร่วมต้องผลักดันเข้าไปใหม่ ต้องดูว่าจะเคลียริ่งเฮาส์ยังไง ทุนประเดิมมาจากใคร ใครจะเป็นคนหล่อเลี้ยงองค์กรทุกปี เพราะว่าหัวใจหลักๆ ในการทำตั๋วร่วมก็คือ ตัวผู้รับสัมปทานแต่ละส่วนแต่ละฝั่งต้องเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งมีสเกลการลงทุน ในมุมความเห็นส่วนตัวผมนะ คิดว่าเอกชนควรจะต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะตัวเขาเองจะได้ประโยชน์ระยะยาว สมมติว่าทุกคนติดอุปกรณ์ให้เป็นฟอร์แมทเดียวกัน เคลียร์ได้ มีเคลียริ่งเฮาส์ ในอนาคตคอนวีเนียนสโตร์ ค้าปลีก ค้าส่ง จะเข้ามาหมดเลย”

รายละเอียดมี 7 หมวด ประกอบด้วย หมวดที่ 1 คณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม, หมวดที่ 2 การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม, หมวดที่ 3 การดำเนินงานในการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม, หมวดที่ 4 อัตราค่าโดยสารร่วม, หมวดที่ 5 กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม, หมวดที่ 6 การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต, หมวดที่ 7 โทษปรับทางปกครอง และบทเฉพาะกาล

ทั้งนี้ หลักการสำคัญมี 5 เรื่อง ได้แก่ 1.จัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วม เพื่อเป็นมาตรฐานกลาง 2.กำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม 3.จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม เพื่อสนับสนุนประชาชน สนับสนุนผู้รับใบอนุญาตที่เข้าร่วมระบบตั๋วร่วม 4.ผู้ประกอบการที่จะมีสิทธิขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม จะต้องได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้

และ 5.กรณีมีความจำเป็น ให้ตราพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้การประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และต้องได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้

“ตั๋วร่วมมีความจำเป็นต้องเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ยังไม่เร็ว ไทม์ไลน์การผลักดันกฎหมายต้องเสนอกรมบัญชีกลาง และกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียน เพราะมีเรื่องการจัดตั้งกองทุน เสนอกระทรวงคมนาคม เข้าสู่ที่ประชุม ครม. เข้าสู่สภา คาดหวังว่าจะประกาศในราชกิจจาฯ ได้ภายในปี 2568”