“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กับภารกิจบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน สหพัฒนพิบูล

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

“ประเทศไทยมีบทเรียนกับความไม่ยั่งยืนมาแล้วในอดีต ซึ่งนำมาสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจ ถ้าภาคธุรกิจไม่ยั่งยืน สังคม ประเทศ และโลกก็จะไม่ยั่งยืนไปด้วย สุดท้ายทุกคนเสียหายหมด”

คำกล่าวของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รองประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ที่พูดกับ “ประชาชาติธุรกิจ” เพื่อเน้นย้ำว่า ความยั่งยืนมีบทบาทสำคัญมากเพียงใด และเมื่อทุกคนเห็นบทเรียนในอดีตแล้ว ทุกภาคส่วนในสังคมก็ต้องพยายามบรรลุเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนให้ได้ในอนาคต

นอกจากการนั่งเก้าอี้รองประธานกรรมการ “อภิสิทธิ์” ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นประธาน “คณะกรรมการธรรมาภิบาลและการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน” ที่ถูกจัดตั้งเมื่อปี 2566 และเพิ่งถูกเปลี่ยนชื่อจาก “คณะกรรมการความยั่งยืนขององค์กร” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา

ที่สำคัญ “อภิสิทธิ์” จะเข้ามาช่วยเรื่องการกำหนดเป้าหมาย Net Zero ของ SPC ด้วย

SPC เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย ครอบคลุมทุกช่องทางการขาย และมีเครือข่ายกว้างขวางในการกระจายสินค้าหลายรายการและหลากหลายแบรนด์สู่ครอบครัวคนไทยทั่วประเทศ ต้องการเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลความยั่งยืนที่ครอบคลุม 3 มิติ คือ มิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติการกำกับดูแล สอดคล้องกับแนวทางระดับโลก เช่น อิงเกณฑ์การประเมินระดับโลก เช่น S&P Global และคำนึงถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในกรอบสหประชาชาติ The United Nations Sustainable Development Goals (SDGs) เพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างตรงจุด

เร่งสำรวจคาร์บอนฟุตพรินต์

“อภิสิทธิ์” กล่าวว่า ภาพใหญ่เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนของ SPC ปีนี้คือ การเร่งทำเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งหนึ่งในภารกิจสำคัญ คือ การสำรวจคาร์บอนฟุตพรินต์ โดยในปี 2566 บริษัทได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ใน Scope 1 และ Scope 2 ไปแล้วใน 2 พื้นที่

ADVERTISMENT

คือ อาคารสำนักงานใหญ่ (กรุงเทพมหานคร) และคลังสินค้า อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี สำหรับในปี 2567 บริษัทมีแผนที่จะคำนวณเพิ่มเติมในพื้นที่คลังสินค้าพื้นที่ต่าง ๆ และในบริษัทย่อยเพิ่มเติม รวมถึงสำรวจคาร์บอนฟุตพรินต์ Scope 3 ด้วย

“การสำรวจคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เราได้ทราบจุดที่ต้องปรับปรุง และจุดที่เราทำได้ดีแล้ว ทั้งนี้ เราจะทำให้ครบทั้ง 3 ขอบเขตภายในปี 2567 จากนั้นถึงจะไปสู่การตั้งเป้าหมาย Net Zero ที่ชัดเจนได้ว่าเราจะสามารถทำได้ในปริมาณใด และภายในกรอบเวลาใด”

ADVERTISMENT

แนวทางลด Scope 3

ตัวอย่างแนวทางที่ SPC ใช้ลดก๊าซเรือนกระจก Scope 3 คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการขนส่งและกระจายสินค้า เน้นยานพาหนะขนส่งที่เป็นรถไฟฟ้า และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเดินทางของพนักงาน เป็นต้น ที่ผ่านมากว่า 10 ปี บริษัทรณรงค์ให้พนักงานเดินทางมาทำงานด้วยรถสาธารณะ และได้อำนวยความสะดวกให้พนักงานโดยมีรถรับ-ส่งจากรถไฟฟ้าใต้ดิน

นอกจากนั้น ตั้งแต่ปี 2565 บริษัทรณรงค์ให้พนักงานที่เดินทางมาทำงานในเส้นทางเดียวกัน หรือบริเวณใกล้เคียงมาทำงานร่วมกัน ในแบบ Carpool โดยนัดหมายเวลาและสถานที่เพื่อเดินทาง ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Care The Bear ที่ทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เป็นโปรแกรมที่ออกแบบโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อประเมินวัดผลออกมาเป็นค่าการลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างพฤติกรรมใหม่ให้กับพนักงานในองค์กรอย่างยั่งยืน

สิ่งแวดล้อม-สังคม-ธรรมาภิบาล

สิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล 3 เรื่องนี้เป็นทิศทางสำคัญของสหพัฒนพิบูล โดยที่ผ่านมาบริษัทโดดเด่นมากกับเรื่องสังคมและธรรมาภิบาล จนได้รับรางวัลมากมาย เช่น การประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี จากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (CGR) โดยสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) “ในระดับ 5 ดาว ดีเลิศ”

และได้รับการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น จากโครงการประเมินคุณภาพการจัดการประชุมผู้ถือหุ้น (AGM Checklist) โดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ในระดับเกณฑ์สูงสุด 5 เหรียญ หรือได้คะแนนเต็ม 100 คะแนน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

นอกจากนั้น ได้รับประกาศนียบัตรรับรองการต่ออายุเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ครั้งที่ 2 ในงาน “CAC Certification Ceremony 2023 : Success Story for Sustainability แบ่งปันความสำเร็จสู่จุดเปลี่ยนแห่งความยั่งยืน เป็นต้น

แนวคิด “ดร.เทียม โชควัฒนา”

“อภิสิทธิ์” กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางด้านสังคมของ SPC ได้แรงบันดาลใจจากแนวคิดของ “ดร.เทียม โชควัฒนา” ผู้ก่อตั้งบริษัท ที่กล่าวไว้ว่า “สร้างคนดี สินค้าดี สังคมดี” เพราะฉะนั้น บริษัทจึงรณรงค์สร้างคนเก่งและคนดี ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ผ่านโครงการต่าง ๆ ทั้งภายในและนอกองค์กร

เช่น กิจกรรม “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ติดอาวุธเด็กไทย เป็นโครงการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยการจัดติวฟรี ที่ได้ดำเนินการมานานถึง 27 ปี เน้นเนื้อหาเข้มข้น ติวสดโดยติวเตอร์ชั้นนำระดับประเทศ เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เด็กไทย สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามที่ตั้งใจไว้ และมีการถ่ายทอดทางออนไลน์ด้วยในกว่า 77 จังหวัด มากกว่า 1,000 โรงเรียน

และโครงการ “สหพัฒน์ มอบทุน ดร.เทียม โชควัฒนา” แก่บุตร-ธิดาพนักงานที่กำลังศึกษาเล่าเรียนแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพราะบริษัทให้ความสำคัญกับการศึกษาของเยาวชน ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยทำมายาวนานกว่า 10 ปี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมามีการมอบทุนให้กับตั้งแต่ระดับอนุบาล ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา จำนวน 284 ทุน

ดูดซับคาร์บอน ลด Climate Change

สำหรับมิติสิ่งแวดล้อม SPC เล็งเห็นถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้จัดทำแคมเปญ “SPC Zero #GoGrowGreen” เป็นการรวมพลังพนักงาน SPC ร่วมกันปลูกป่าชายเลนเพื่อลดการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งและช่วยดูดซับคาร์บอน

ได้ร่วมเป็น 1 ในภาคีเครือข่าย กับสำนักงานเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร โดยมีคณะผู้บริหารและพนักงานร่วมมือร่วมใจกันลงพื้นที่ทำกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ณ บางขุนเทียนชายทะเล

ยังมีกิจกรรม “Green PLEASE by SPC” ที่เป็นโครงการที่ได้รับรางวัลจากการประกวดนวัตกรรมเครือสหพัฒน์ ประจำปี 2565 ภายใต้โครงการ New Thinking ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการโครงการนี้มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยการรวบรวมขวดพลาสติก PET ส่งมอบให้กับหน่วยงานต่าง ๆ

และได้มีการจัด “กิจกรรม ข.ขวด…เรานะ” โดยในทุกวันพฤหัสบดีที่ 2 และ 4 ของเดือน พนักงานสามารถนำขวดพลาสติกมาแลกรับของสมนาคุณ เพื่อให้พนักงานตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะพลาสติกที่ล้นโลก โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างจิตสำนึกและปลูกฝังให้พนักงานในองค์กรลดการสร้างขยะ และแยกขยะให้ถูกต้อง เพื่อนำไปเข้ากระบวนการรีไซเคิลที่ถูกต้องต่อไป

ในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทรวบรวมขวดพลาสติกจากกิจกรรมดังกล่าวได้ทั้งหมด จำนวน 486.50 กิโลกรัม ช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ 1,253.53 kgCO2e. เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 139 ต้น และส่งต่อขวดพลาสติกทั้งหมดให้กับวัดจากแดง เพื่อนำขวดพลาสติกไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และผลิตเป็นจีวรรีไซเคิล หรือผ้าไตรจีวรในโครงการ Care the Whale

ขณะที่ยอดปี 2567 (มกราคม-สิงหาคม) ปริมาณขยะที่บริหารจัดการรวม 1,053.70 กิโลกรัม ลดปริมาณก๊าซเรือ นกระจกได้ 1,017.45 kgCO2eq เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 113 ต้น

ความท้าทายระดับประเทศ

“อภิสิทธิ์” กล่าวถึงความท้าทายเกี่ยวกับความยั่งยืนระดับประเทศว่า มีในทุกด้าน ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของทุกธุรกิจในโลกของการค้ามีความจำเป็นที่จะต้องลงทุน แล้วอาจจะนำไปสู่การเพิ่มต้นทุนในระยะเบื้องต้น ซึ่งก็เป็นอุปสรรคสำหรับหลายองค์กร เพราะว่าผลตอบแทนอาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง

หรือแม้แต่เรื่องการปรับตัวขององค์กรในเรื่องระบบการบริหารจัดการให้เข้ากับเกณฑ์ที่หลากหลาย อาจจะต้องใช้เวลาเพื่อที่จะปรับวัฒนธรรมการทำงานของคนในองค์กรให้สอดรับกับตัวระบบใหม่ ๆ

“ความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกภาคส่วนและทุกคน ไม่ใช่หน้าที่รัฐหรือภาคเอกชนอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้น ทุกคนต้องร่วมมือกัน มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะเวลาช่วงเปลี่ยนผ่าน การที่จะให้รัฐบาลเอาเงินมาอุดหนุนเพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่การที่จะให้ภาคธุรกิจหรือผู้บริโภครับหน้าที่ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นต้องทำไปด้วยกัน หาความชัดเจนในเชิงทิศทางแล้วก็แบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน”